“..พฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทําของผู้ถูกร้องทั้ง 3 แสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจของผู้ถูกร้องว่า การใช้สิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าว มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป..”
ถ้อยคำส่วนหนึ่งในคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 19/2564 ที่ชี้ว่าพฤติการณ์ของแกนนำกลุ่มราษฎร ทั้งอานนท์ นำภา, ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก และรุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล กรณีที่มีข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ ในการชุมนุมวันที่ 10 ส.ค.2563 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มาตรา 49 พร้อมสั่งให้ทั้ง 3 คนพร้อมองค์กรเครือข่ายเลิกการกระทำดังกล่าวต่อไปในอนาคต
คำวินิจฉัยดังกล่าว นำไปสู่การถกเถียงกันในแวดวงสื่อสารมวลชนว่า แล้วหลังจากนี้จะสามารถรายงานความเคลื่อนไหวรวมถึงข้อเสนอของกลุ่มที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ที่ กสทช.ซึ่งถืออำนาจตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 และเคยใช้มาตรา 37 ของกฎหมายดังกล่าวออกคำสั่งลงโทษสื่อโทรทัศน์มาแล้วหลายครั้ง รีบออกมาเตือนการนำเสนอข่าวของสื่อโทรทัศน์ล่วงหน้า ก่อนที่คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาด้วยซ้ำ
เพื่อคลายข้อสงสัยให้กระจ่างขึ้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงจัดเสวนา หัวข้อ ‘ปรากฎการณ์ม็อบปฏิรูปกับขอบเขตการรายงานข่าวของสื่อมวลชน’ พร้อมเชิญจากหลายวงการ ทั้งอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ นักวิชาการด้านสื่อ นายกสมาคมวิทยุและโทรทัศน์ไทย และตัวแทนจากสภาทนายความ มาให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ
The MATTER ร่วมฟังเวทีเสวนาดังกล่าว ที่จัดผ่านโปรแกรมซูมด้วยในช่วงสายวันที่ 8 ธ.ค.2564 จึงขอสรุปสาระสำคัญมาให้ได้อ่านกันว่าคำวินิจฉัยคดีดังกล่าว จะกระทบกับ ‘เพดาน’ ในการทำข่าวมากน้อยเพียงใด
วิทยากรคนแรก วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- ให้ข้อมูลว่า คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีข้อบกพร่องบ้าง เนื่องจากขั้นตอนการทำงานที่จะให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนไปทำคำวินิจฉัยส่วนตน แล้วนำมาเปิดในเช้าวันที่จะตัดสินคดีใดๆ ก่อนจะนำคำวินิจฉัยส่วนตนของหลายๆ คน มา ‘ยำ’ รวมเป็นคำวินิจฉัยกลาง และเผยแพร่ในบ่ายวันเดียวกัน (วสันต์ใช้คำว่า “ไฟลนก้น”)
- สำหรับคำวินิจฉัยคดีดังกล่าว ส่วนตัวเห็นว่า ยังเขียนเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างทั้ง 3 คนกับการกระทำต่างๆ เช่น นำสีน้ำเงินออกจากธงชาติไม่ชัดเจนนัก อยากให้นำหลักตาม ป.อาญา มาตรา 83 เรื่อง “ตัวการร่วม” มาปรับใช้
- ย้ำว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ในทางวิชาการ
- อยากให้สื่อมวลชนระมัดระวังการทำผิดซ้ำ ยกตัวอย่างที่สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เคยนำข้อความในคดี 112 มาพูด จนถูกฟ้อง แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง เพราะก็ดูเจตนาด้วย
- ถามว่า จากนี้ไปสื่อสามารถรายงาน 10 ข้อเรียกร้องได้หรือไม่ อยากแนะนำว่ารายละเอียดใดที่อาจเข้าข่ายการจาบจ้วง-ล่วงละเมิด ก็ตัดออก เพราะมีความเสี่ยง เพราะการขึ้นโรงขึ้นศาลมันเหนื่อย ต่อให้สุดท้ายศาลตัดสินว่าไม่ผิดอยู่ดี
วิทยากรคนที่สอง อ.พรรษาสิริ กุหลาบ จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ในฐานะผู้รับสารคนหนึ่ง ก็อยากให้สื่อมวลชนสามารถรายงานข้อเท็จจริงได้โดยไม่ถูกแทรกแซงใดๆ และสามารถเป็นพื้นที่ให้คนกลุ่มต่างๆ สามารถมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้
- หน้าที่สำคัญของสื่อ นอกเหนือจากการรายงานข้อเท็จจริง (inform) ยังรวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (verify) ด้วย กระทั่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ควรจะถูกตรวจสอบได้ สถาบันตุลาการควราจะถูกตรวจสอบได้ เช่นเดียวกับสถาบันอื่นๆ ในสังคม
- มองสิ่งที่สื่อยังกริ่งเกรงในการรายงานข่าว เพราะมันมีการตีความทางกฎหมายที่ค่อนข้างกว้างขวาง รวมถึง “บรรยากาศทางการเมือง” ที่ไม่รู้ว่ากฎหมายจะถูกตีความไปอย่างไร
- เข้าใจข้อจำกัดของสื่อ ทั้งในเชิงกฎหมายและในเชิงวัฒนธรรม แต่อะไรก็ตามที่ทำให้สื่อไม่มีเสรีภาพก็ควรจะตั้งคำถามกับมันได้ หากกฎหมายใดทำให้ไม่สามารถถ่ายทอดข้อเท็จจริงกับสังคมไทย ก็ควรจะปรับเปลี่ยนได้
วิทยากรคนที่สาม พีระวัฒน์ โชติธรรมโม นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
- การทำงานของสื่อจะมี 2 สิ่งมากำกับ คือ จริยธรรมและกฎหมาย โดยเฉพาะสื่อทีวี เรื่องกฎหมายมีความสำคัญ เพราะให้อำนาจ กสทช.เข้ามากำกับด้วย
- ข่าวการชุมนุมสามารถนำเสนอได้ แต่ต้องระวังเนื้อหาที่หมิ่นเหม่หรือพาดพิงบุคคลที่สาม บางกรณีจึงเลี่ยงที่จะลงรายละเอียด และต้องยอมรับว่ามีกฎหมายบางมาตราที่ทำให้เราลงรายละเอียดบางอย่างมากไม่ได้ สื่อทีวีเลยทำงานลำบากมาก เพราะพูดมากไปก็ไม่ได้ พูดน้อยไปก็ไม่ควร “ถามว่าแบบนี้จะเรียกว่าเซ็นเซอร์ตัวเองไหม ผมอยากเรียกว่าการประคับประคองให้อยู่ต่อไปได้จะดีกว่า”
- ต้องเข้าใจว่า สื่อทีวีมีกติกาเยอะ ทั้งกฎหมาย ธุรกิจ สังคม รวมถึงแพล็ตฟอร์มที่กำลังถูก disrupt อยู่
- มีเรื่องราวสัก 100 ประเด็น ขอให้ได้ทำสัก 90 ประเด็น อีก 10 ประเด็นที่เสี่ยงจะผิดกฎหมาย ก็เลี่ยงไว้ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่ได้ทำ 90 ประเด็น เรื่องนี้ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์
วิทยากรคนที่สี่ ทัศไนย ไชยแขวง ตัวแทนจากสภาทนายความฯ
- ที่คนมองว่า คำวินิจฉัยนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่เคยมีการวางแนวบรรทัดฐานเรื่อง ‘ล้มล้างการปกครองฯ’ มาก่อน พอศาลรัฐธรรมนูญมาวางแนวก็เลยตกใจ
- การทำงานของสื่อ ต้องยึดแนวคำวินิจฉัยของศาล รธน.ว่า พฤติกรรมแบบนี้ มีความผิด ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์ หากเป็นในเชิงวิชาการสามารถทำได้
- เรื่องข้อเสนอปฏิรูปสถาบัน สื่อมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง แต่อะไรที่อ่อนไหว ไม่อยากให้มองเป็น ‘ข้อห้าม’ แต่อยากให้มองว่าเป็นความอ่อนไหว มองคล้ายๆ กับความเชื่อศาสนา
วิทยากรคนที่ห้า ตัวแทน กสทช. ทางสมาคมนักข่าวฯ ชวนแล้ว แต่ไม่มา
ในช่วงของการถามตอบ มีการแสดงความเห็นหลากหลายจากผู้เข้าร่วมฟังการเสวนา เช่น มองว่าบางครั้งสื่อรายงานกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่ถูกต้อง อาจเพราะเกิดจากการไม่รู้หรือมีอคติ, มองว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีแกนนำราษฎรไม่ชัดเจน โต้แย้งข้อเรียกร้องไม่กี่ข้อ เช่น ที่เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และที่พูดถึงเครือข่าย/ขบวนการก็ให้พยานหลักฐานไม่ชัดเจน, มองว่าการกระทำของ กสทช. ที่รีบออกมาเตือนการทำงาน ทั้งๆ ที่คำวินิจฉัยกลางยังไม่ออก จะเข้าข่ายแทรกแซงการทำงานของสื่อหรือไม่
โดยสรุปคือ วงเสวนานี้ก็คงไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ชัดเจนว่า สื่อจะรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎรรวมถึงข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์หลังจากนี้ได้มากน้อยเพียงใด อาจต้องหารือกันอีกหลายๆ ครั้งให้ตกผลึกกันต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง
– อ่านสรุปเนื้อหาในเวทีเสวนาเดียวกัน จากเว็บไซต์ของสมาคมนักข่าวฯ: https://www.tja.or.th/view/activities/media-movements/1337328
– ข่าว กสทช.แนะสื่อเลี่ยงเสนอข่าว ปฏิรูปสถาบัน-แก้ ม.112 https://www.facebook.com/NewsWorkpoint/posts/4795418100496484
– คำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีปฏิรูป = ล้มล้าง http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/A/080/T_0022.PDF (เผยแพร่วันที่ 29 พ.ย.2564)
– คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีปฏิรูป = ล้มล้าง https://www.constitutionalcourt.or.th/download/pall19-2564.pdf (เผยแพร่วันที่ 1 ธ.ค.2564)
#Brief #TheMATTER