เวลาในแต่ละวันเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของเรามาก กิจกรรมที่เราทำแต่ละอย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารหรือการนอน ต่างก็ต้องคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘นาฬิกาชีวภาพ’ หรือ ‘circadian rhythm’ ทั้งสิ้น และงานวิจัยล่าสุดยังพบว่า นาฬิกาชีวภาพที่ว่านี้ยังส่งผลไปถึงต่อการฉีดวัคซีน COVID-19 อีกด้วย
วารสาร Journal of Biological Rhythms เพิ่งเผยแพร่ผลศึกษาของกลุ่มนักวิจัยที่มาจากทั้งฮาร์วาร์ดและอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งได้เข้าไปทำการศึกษาปริมาณแอนติบอดี้หลังจากฉีดวัคซีน COVID-19 ในเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอังกฤษ 2,190 คน และพบว่า การตอบสนองของแอนติบอดี้นั่น สูงกว่าสำหรับคนที่ฉีดวัคซีนตอนบ่ายของวัน
การค้นพบครั้งนี้ตรงกันข้ามกับการศึกษาเรื่องไข้หวัดใหญ่ก่อนหน้านี้ ที่พบว่า คนที่ฉีดวัควีนในตอนเช้ามีภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ที่สูงกว่า ซึ่งทีมวิจัยก็อธิบายความแตกต่างนี้ว่า เป็นเพราะว่าวัคซีน COVID-19 กับไข้หวัดใหญ่มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน และการตอบสนองของแอนติบอดี้ก็อาจจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อโรคนั้นเป็นเชื้อที่ภูมิคุ้มกันเคยเจอมาแล้ว เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือว่าเป็นเชื้อตัวใหม่ด้วย
อย่างไรก็ดี ทีมผู้วิจัยก็ยอมรับว่ายังไม่ได้ทำการสำรวจให้รอบด้าน เพราะสิ่งที่ขาดไปคือ ประวัติการรักษาของผู้เข้าร่วมการวิจัย เวลานอน และชั่วโมงทำงาน ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการตอบสนองต่อวัคซีนได้ด้วยเช่นกัน โดยนอกจากเรื่องเวลา ทีมวิจัยยังบอกอีกว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์, เป็นผู้หญิง หรือเป็นคนอายุน้อย ก็มีการตอบสนองของแอนติบอดี้ที่สูงกว่าด้วยเหมือนกัน
แต่ไม่ว่าจะฉีดเวลาไหน การฉีดวัคซีน COVID-19 ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำเพื่อยับยั้งโรคระบาด โดยเฉพาะเมื่อมีการรายงานถึงสายพันธุ์ที่อาจแพร่กระจายได้ง่ายกว่าเดิมอย่างโอไมครอน ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของกรมอนามัยฯ ประเทศอังกฤษ การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ก็ยังไม่สามารถป้องกันเชื้อโอไมครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ แต่จะป้องกันได้ดีขึ้นก็ต่อเมื่อฉีดเข็ม 3 ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณ 75%
อ้างอิงจาก
https://news.harvard.edu/gazette/story/2021/12/time-of-day-matters-when-getting-covid-vaccine/
https://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/07487304211059315
https://www.bbc.com/news/health-59615005