ปี ค.ศ.2019 เป็นปีสุดท้ายที่ประเทศไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างจริงจัง และเป็นปีที่การท่องเที่ยวไทยทำรายได้ได้มากถึง 3 ล้านล้านบาท ก่อนที่ COVID-19 จะระบาด ทำให้ในปีถัดๆ มาสังคมก็รับรู้อย่างเป็นทางการแล้วว่า เราคงต้องอยู่ร่วมกับโรคระบาดนี้ให้ได้ (เพราะดูเหมือนไวรัสจะกลายพันธุ์เรื่อยๆ) ดังนั้นการท่องเที่ยวไทยต้องเริ่มต้นคิดถึงหนทางใหม่ในการรับนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะไม่ใช่การโฟกัสเรื่องจำนวน แต่เป็นเรื่องคุณภาพ ซึ่งคำตอบที่เหมาะเจาะก็คงเป็นเรื่องของ ‘Wellness Tourism’ หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นหนึ่งเทรนด์การท่องเที่ยวที่ไทยไม่อยากตกขบวน และ The MATTER ก็เช่นกัน เรามีโอกาสได้เจอกับ ‘หมอแอมป์—นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ’ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) มานั่งคุยถึงประเด็นนี้อย่างเจาะลึกว่า Wellness Tourism คือการท่องเที่ยวแบบไหน? จะทำเงินได้อย่างไรบ้าง? ใครเกี่ยวข้องบ้างกับอุตสาหกรรมนี้ และไทยจะทำมันได้หรือไม่?
“พอมี COVID-19 หนึ่งคนเท่ากับหนึ่งความเสี่ยง เราเน้นแค่จำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้แล้ว ทุกคนอยากได้หนึ่งหัวที่ใช้จ่ายเยอะขึ้น งานวิจัยจาก Global Wellness Institution (GWI) พบว่า คนมาเที่ยวปกติ กับเที่ยวเชิงสุขภาพใช้จ่ายต่างกัน ต่างชาติมาเที่ยวกับเราเป็นเชิงสุขภาพ เขาใช้จ่ายประมาณห้าหมื่นกว่าบาทต่อคน สูงกว่าการท่องเที่ยวแบบปกติถึง 53% ทุกคนเลยอยากได้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เพราะมีคุณภาพ มาเที่ยวแล้วทรัพยากรไม่ช้ำ มาแล้วต่อยอดไปสิ่งต่างๆ ได้” หมอแอมป์เริ่มเล่าให้ฟังจากตรงนี้
COVID-19 กับเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
หมอแอมป์บอกว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มรักษ์สุขภาพ หรือกลุ่ม Wellness Tourism คือ ‘คนไม่ป่วย’ ที่ต้องการมาเที่ยวเพื่อดูแลสุขภาพ มาทานอาหารสุขภาพ มาสปา มาตรวจสุขภาพ โดยตรง หรือมาเที่ยวด้วยและดูแลสุขภาพไปด้วย เช่น การเข้าร่วมคอร์สนั่งสมาธิ โยคะ หรือนวดไทย
ก่อนหน้านี้ การเติบโตหลักๆ ของเทรนด์ท่องเที่ยวสุขภาพที่ทั้งรัฐและเอกชนทั่วโลกพูดถึงกันตอนนี้ ประกอบมาจากหลายปัจจัย 1) การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ในหลายประเทศคนเกิดน้อยกว่าคนตาย แต่งงานช้า และเด็กเกิดน้อย 2) เทรนด์รักสุขภาพ 3) โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเพิ่มมากขึ้น และเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด โดยใน 100 คนจะเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 77 คน
“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพดังมาหลายปีแล้ว ก่อน COVID-19 อีก แต่เทรนด์ยังไม่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่สนใจแค่ป่วยแล้วไปโรงพยาบาลเท่านั้น” หมอแอมป์บอก
แต่การระบาดของโรคทำให้คนสนใจป้องกันตัวเองไม่ให้ป่วยมากขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้สูงวัยเท่านั้น แต่รวมถึงคนรุ่นใหม่เองก็ด้วย
“ในโลกใบนี้ ทำไมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถึงได้รับความสนใจเยอะ เพราะ COVID-19 ทำให้มนุษย์หันมารักสุขภาพตัวเองมากขึ้น”
“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จริงๆ คือการป้องกันดูแลสุขภาพ ชะลอการเจ็บป่วย ซึ่งต้องร่วมไปกับการรักษาโรคอยู่แล้ว หากเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องมีหมอรักษา แต่ในด้านสุขภาพ ถ้าไม่อยากเจ็บป่วยก็ต้องดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ” คุณหมอแอมป์บอก
เจาะลึกธุรกิจดูแลสุขภาพมาแรง และโอกาสไทยในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
หมอแอมป์ได้เปิดข้อมูลน่าสนใจเพิ่มเติมจาก Global Wellness Institution ถึงธุรกิจเชิงดูแลสุขภาพ และการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในปี ค.ศ.2017 ตลาดสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่า 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ปี ค.ศ.2019 เติบโตเป็น 4.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี ติดต่อกันทุกปี ซึ่งหมอแอมป์บอกว่า แทบไม่มีธุรกิจไหนทำได้ และนี่คือเรื่องของ ‘โอกาส’
ตลาดรักสุขภาพแบ่งแยกย่อยเทรนด์ 5 อันดับแรกได้ ดังนี้
- การดูแลความงามส่วนบุคคลและศาสตร์ชะลอวัย (Personal Care, Beauty & Anti-Aging) มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (2019)
- ศาสตร์การออกกำลังกาย (Physical Activity) มูลค่าประมาณ 873,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2019)
- อาหารสุขภาพ (Healthy Eating, Nutrition & Weight loss) มูลค่าประมาณ 945,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2020)
- ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) มูลค่าประมาณ 720,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2019)
- เวชศาสตร์ป้องกันและการดูแลสุขภาพ (Preventive Personalized Medical) 575,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (2017)
จากเทรนด์ที่ว่านี้ หมอแอมป์บอกว่า “ถ้าไม่ติด COVID-19 ตลาด Wellness ของโลก มูลค่าคงทะลุ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปแล้ว”
ทว่าการมาถึงของ COVID-19 ก็เรียกร้องให้ท่องเที่ยวไทยต้องปรับตัว จากการเน้นรับจำนวนนักท่องเที่ยว ก็อาจจะต้องเน้นเชิงคุณภาพ ซึ่งแน่นอนว่า ‘การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ’ ตอบโจทย์ตรงนี้ และยังสร้างรายได้ให้กับผู้มีส่วนร่วมในระบบการท่องเที่ยวได้มากกว่าที่คิด ซึ่งผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ตัวเองให้มีความแตกต่าง มีจุดขายด้วย
“ส่วนใหญ่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นคนวัยห้าสิบขึ้นไป ตลาดแตกต่างกันมากกับนักท่องเที่ยววัยรุ่น เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เน้นคุณภาพการท่องเที่ยว จะเที่ยวแบบลึกซึ้งมากขึ้น เช่น ต้องการไกด์ที่มีความรู้พิเศษเพื่อเล่าให้ฟังถึงประวัติโดยละเอียด ชื่นชมสถาปัตยกรรม มองหาร้านอาหารที่ดี อร่อย ดีต่อสุขภาพ อาจจะราคาสูงแต่คุ้มค่า บ่ายๆ ก็อาจจะไปนวด สปา ต้องการโรงแรมที่ปลอดภัยถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น มีเครื่องกระตุกหัวใจ วันถัดมาอาจจะเจาะเลือด รับวิตามิน และอาจจะมีคลาสนั่งสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก ซึ่งพวกเขาจ่ายมากกว่า และพวกเขาพอใจจะจ่ายมากกว่าตามความพอใจ เขาคือเลือกคุณภาพมากกว่าปริมาณ เน้นผลลัพธ์ นี่คือความน่าสนใจมากๆ”
โดยงานศึกษาจากศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ข้อมูล ค.ศ.2019 มีนักท่องเที่ยวที่เที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลก มาเที่ยวเมืองไทย 12.5 ล้านคนต่อครั้ง ทำรายได้เข้าประเทศสี่แสนกว่าล้านบาท ซึ่งในภูมิภาคเอเชีย ไทยเป็นรองแค่ จีน ญี่ปุ่น และ อินเดียเท่านั้นในแง่การได้รับความสนใจเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากนักท่องเที่ยว
ดังนั้นในช่วงจังหวะที่เรายังต้องอยู่ร่วมกับ COVID-19 ต่อไป และไม่แน่ใจว่าวันไหนการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นกลับมาเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยได้เหมือนกัน การโฟกัสเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ จึงเป็นเรื่องที่คงมองข้ามไปไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อถามถึงคำแนะนำจากหมอแอมป์ ว่าประเทศไทยควรจะดำเนินทิศทาง ขับเคลื่อนอย่างไรต่อไป เพื่อให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเกิดขึ้นได้ เป็นรายได้หลักให้ประเทศในอนาคตข้างหน้า หมอแอมป์บอกว่า มันคือภารกิจที่รัฐและเอกชน ต้องทำร่วมกัน ไม่ใช่รัฐไปทางหนึ่ง และเอกชนไปอีกทางหนึ่ง ต้องมองร่วมกันว่าจากนี้ เราจะรับนักท่องเที่ยวแบบเน้นคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ และพยายามดึงจุดเด่นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย มาแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เช่น เรื่องของสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องของอาหารการกิน อาหารไทยซึ่งโดดเด่นในเรื่องของผัก สมุนไพร เรื่องการแพทย์แผนไทย สมุนไพรไทย เรื่องการนวดไทย เรื่องคุณภาพการรักษาพยาบาลซึ่งประเทศไทยติดอันดับโลก รวมถึงเรื่องจุดเด่นของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหรือปฏิบัติสมาธิลดความเครียด ที่สามารถปรับมาเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพใจได้อีกด้วย
“เรามีโอกาสอีกมากที่จะเปลี่ยนคนมาเที่ยวอย่างเดียว ให้มาเป็นเที่ยวเชิงสุขภาพ เห็นแบบนี้แล้ว หากใครกระโดดเกาะเทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้ ไม่ใช่แค่จะดีกับธุรกิจที่ตัวเองทำ แต่เป็นการช่วยผลักดันประเทศให้เติบโตและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศเราได้อีกด้วย” หมอแอมป์ทิ้งท้าย