ผลการศึกษาจากทีมวิจัย 3 ทีมในอังกฤษ สก็อตแลนด์ และแอฟริกาใต้ ได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า การติดเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอนมีแนวโน้มที่จะมีอาการป่วยที่รุนแรงน้อยกว่า และโอกาสนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยก็น้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น เดลต้า
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ซึ่งได้วิเคราะห์ข้อมูลของผู้ติดเชื้อโอไมครอน 56,000 เคสและเดลต้า 269,000 เคส ระหว่างวันที่ 1-14 ธ.ค. พบว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอนมีความเสี่ยงที่ต้องไปโรงพยาบาลต่ำกว่าเดลต้า 20-25% มีความเสี่ยงที่ต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 1 คืน ต่ำกว่าเดลต้า 40-45% แต่สำหรับผู้ติดเชื้อโอไมครอนที่ไม่เคยฉีดวัคซีนหรือติดเชื้อมาก่อน มีความเสี่ยงต้องนอนโรงพยาบาลต่ำกว่าเดลต้าแค่ 11%
ในสก็อตแลนด์ งานวิจัยภายใต้โปรเจกต์เฝ้าระวัง COVID-19 ที่ชื่อ ‘EAVE II’ ของมหาวิทยาลัยเอดินบะระ พบว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอนมีความเสี่ยงที่ต้องนอนโรงพยาบาลต่ำกว่าเดลต้าถึง 70% โดยจากข้อมูลระหว่าง 23 พ.ย. ถึง 19 ธ.ค. พบว่า มีผู้ติดเชื้อโอไมครอนที่ต้องนอนโรงพยาบาลแค่ 15 คน ซึ่งน้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะมีประมาณ 47 คนที่ต้องนอนโรงพยาบาล
ส่วนการวิจัยที่นำโดยนักวิจัยจากสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ ซึ่งได้ศึกษาข้อมูลจากผู้ติดเชื้อโอไมครอนในแอฟริกาใต้ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. ถึง 30 พ.ย. พบว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอนมีความเสี่ยงที่ต้องนอนโรงพยาบาลน้อยกว่าถึง 80% เทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ที่ติดเชื้อในช่วงเดียวกัน อย่างไรก็ดี ในกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องโรงพยาบาล พบว่าความรุนแรงของอาการมีระดับใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ดี ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงหลักฐานการวิเคราะห์เบื้องต้นเท่านั้น ดังที่ ศ.นีล เฟอร์กูสัน หนึ่งในนักวิจัยของอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน ได้ให้ความเห็นว่า ผลการวิจัยเหล่านี้เป็นข่าวดี แต่แค่ในระดับหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาก็มีข้อมูลว่าสายพันธุ์โอไมครอนสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็อาจกลายเป็นวิกฤตที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งต้องรับมือ
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/health-59758784
