“ไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” ยังเป็นจริงเสมอในสถานการณ์เช่นนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนว่า ภายใน 2 เดือนข้างหน้า ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของยุโรปอาจติดโอไมครอน ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์รุนแรงเทียบเท่า หรือมากกว่าระลอกที่ระบาดจากเดลต้า
ดร.ฮานส์ คลูจ ผู้อำนวยการภูมิภาคของหน่วยงานประจำยุโรป กล่าวในการแถลงข่าวว่า “ในช่วงสัปดาห์แรกของปี ค.ศ.2022 ยุโรปมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 7 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัวจากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน”
“สึนามิโอไมครอนกำลังค่อยๆ ลุกลามไปภูมิภาคต่างๆ อย่างรวดเร็วจากตะวันตกไปตะวันออก” คลูจเสริม พร้อมระบุเพิ่มเติมโดยอ้างอิงข้อมูลจากสถาบันเพื่อการตรวจวัดและประเมินผลด้านสุขภาพในซีแอตเทิลว่า ในอีก 6-8 สัปดาห์ข้างหน้า ประชากรกว่า 50% ของยุโรปอาจจะติดเชื้อโอไมครอน
ด้วยระยะเวลาที่ระบาดมานานกว่า 2 ปีทำให้หลายๆ ชาติเริ่มถกเถียงกันเรื่องเปลี่ยนให้การระบาด COVID-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นเหมือนไข้หวัดใหญ่ แต่เมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของโรคในขณะนี้ดูเหมือนจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการใช้แนวทางดังกล่าวเสียทีเดียว
แคทเทอรีน สมอลวูด เจ้าหน้าที่อาวุโสแผนกฉุกเฉินของ WHO กล่าวว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะเรียก COVID-19 ว่าโรคประจำถิ่น และยังห่างไกลที่จะเดินทางไปถึงจุดนั้น เพราะสถานการณ์ยังไม่มีความแน่นอน และมีอะไรที่ไม่รู้อีกมาก
การระบาดของโอไมครอนทำให้เกิดความกังวลไปทั่วโลก แม้ผลการศึกษาล่าสุดจะยังยืนยันว่าโอไมครอนมีระดับความรุนแรงของโรคน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ประกอบกับประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว ซึ่งสามารถป้องกันภาวะป่วยหนักและเสียชีวิตจากการติดเชื้อ แต่เนื่องด้วยความสามารถในการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศในแถบอเมริกาและยุโรป รวมถึงเอเชียกลับมาเผชิญกับภาวะวิกฤตอีกครั้ง
หลายๆ ประเทศเริ่มเจอกับปัญหาเตียงเต็ม อัตราการครองเตียงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลของชาติต่างๆ จึงออกมากระตุ้นให้ประชาชนที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบเกณฑ์ออกมาฉีดวัคซีนกันมากขึ้น โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเปราะบาง เพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียในอนาคต
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-europe-59948920
https://www.nytimes.com/…/who-europe-covid-omicron…