ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ม.ค.2565 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม ในฐานะว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ได้กล่าวตอบคำถามระหว่างร่วมงานเสวนาวิชาการ ของคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวข้อ ‘ทบทวนโครงสร้างมหานครตอบโจทย์เมืองที่ทุกคนใฝ่ฝัน’ ถึงแนวทางการพัฒนาคลองต่างๆ ใน กทม.ว่า แนวทางการพัฒนาคลองต่างๆ ใน กทม. ต้องพิจารณาจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และต้องขยายไปยังคลองที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนมากขึ้นด้วย เพราะใน กทม.มีคลองต่างๆ ระยะทางรวมกันกว่า 2,700 กิโลเมตร คลองบางแห่งที่อยู่หน้าบ้านของพวกเราก็ต้องพัฒนา จึงตัองจัดลำดับความสำคัญ ไม่ใช่ว่าไปพัฒนาเฉพาะบางจุด แค่ใน กทม.ชั้นใน อาจจะเอาบทเรียนในอดีตขยายไปพัฒนาคลองอื่นๆ เช่น คลองประเวศบุรีรมย์ คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร หรือกระทั่งคลองในฝั่งธนบุรี เช่น คลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ มีหลายคลองที่ยังพัฒนาได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง เริ่มจากกำจัดน้ำเสีย ทำทางเดินให้ดี ปรับปรุงประตูระบายน้ำ ให้ชุมชมร่วมกันจัดการขยะ เป็นต้น
สำหรับโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองช่องนนทรี มูลค่ารวม 980 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปบางส่วน ช่วงปลายปี พ.ศ.2564 และถูกวิพากษ์วิจารณ์ ชัชชาติระบุว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่โครงการพัฒนาคลอง แต่เป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ เพราะยังไม่เห็นการพัฒนาคุณภาพน้ำ
- ดูช่วงที่ชัชชาติถึงแนวทางการพัฒนาคลองต่างๆ ใน กทม.: https://www.facebook.com/LawCUconference/videos/1278800209278371 (ระหว่างนาทีที่ 8-10)
ในงานเสวนาเดียวกัน ชัชชาติยังกล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนา กทม. โดยเริ่มต้นจากการชูตัวเลข 1 และ 98 ซึ่งเป็นตัวเลขจากผลสำรวจว่า กทม.เป็น ‘เมืองน่าเที่ยว’ อันดับที่ 1 ของโลก แต่กลับเป็น ‘เมืองน่าอยู่’ อันดับที่ 98 คำถามคือแล้วจะทำอย่างไรให้ กทม.เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน
ทั้งนี้ อำนาจหน้าที่ของ กทม.มีหลักๆ แค่ 3 อย่าง คือ 1.ดูแลคุณภาพชีวิตประชากร 2.เพิ่มประสิทธิภาพของเมือง 3.สร้างโอกาสที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน
“อะไรที่ไม่ใช่ 3 อย่างนี้ กทม.ไม่ต้องไปทำ”
เขายังกล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนา กทม.ว่า ควรจะยึดไม้บรรทัด 3 อย่าง คือ ความยั่งยืน (sustainable) ไม่ใช่การเอาทรัพยากรในอนาคตมาแก้ไขปัญหาปัจจุบัน แล้วทิ้งปัญหาไว้ให้คนรุ่นหลังๆ ความครอบคลุม (inclusive) นับรวมทุกๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ใน กทม. และความยุติธรรมกับความเข้าใจ (fair and empathy) การแก้ไขปัญหาจะอาศัยกฎหมายมาบังคับอย่างเดียวไม่ได้ เช่น ชุมชนริมคลองต่างๆ
ชัชชาติ ยังกล่าวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของ กทม. มีทั้งเรื่องการบริหารจัดการที่รวมศูนย์อยู่ที่ผู้ว่าฯ กทม.ค่อนข้างมาก, ลักษณะของเมืองที่มีการกระจายตัวสูงมาก คนย้ายจาก กทม.ชั้นในไปอยู่ กทม.ชั้นนอกมากขึ้น, กทม.ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องประปา ไฟฟ้า ขนส่งทางราง โรงเรียน โรงพยาบาล การท่องเที่ยว จะมีอำนาจที่ทับกับราชการส่วนกลางหลายหน่วยงาน และสุดท้าย ปัญหาเรื่องเส้นเลือดใหญ่-เส้นเลือดฝอย กทม.ที่ผ่านมา ไปลงทุนเส้นเลือดใหญ่มาก แต่ละเลยเส้นเลือดฝอย ทำให้แก้ปัญหาไม่สำเร็จ เช่น มีโรงเผาขยะมูลค่าหมื่นล้าน แต่การจัดเก็บขยะยังมีปัญหา หรือมีอุโมงค์ระบายน้ำยักษ์ แต่ท่อระบายน้ำหน้าบ้านกลับอุดตันเพราะขยะ
แล้วเมืองที่น่าอยู่จะเป็นอย่างไร?
ชัชชาติกล่าวว่า นี่คือคำถามที่ยาก คนชอบถามว่าอะไรคือปัญหาสำคัญของ กทม.ที่ต้องเร่งแก้ไข ใช่ปัญหารถติดหรือไม่ แต่ตนมองว่าไม่ใช่ แต่คือปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิต เพราะปัญหาของ กทม.ไม่ได้มีเรื่องเดียว ส่วนตัวชอบบทความของ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าฯ ธปท. เรื่องจาก “ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” นี่คือคำจำกัดความของเมืองที่น่าอยู่ กทม.มีปัญหาที่เร่งด่วนเป็นร้อยที่สามารถทำไปในเวลาเดียวกัน ทั้งเรื่องจราจร ขยะ น้ำเสีย น้ำท่วม ฯลฯ โดยกรณีที่อำนาจทับซ้อนกับหน่วยงานอื่น ก็จะปฏิเสธความเป็น ‘เจ้าบ้าน-เจ้าภาพ’ ในการแก้ไขปัญหาไม่ได้ กทม.ปรับ mindset หาวิธีแก้ปัญหาให้ประชาชนไปก่อน แล้วค่อยไปพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา
นี่คือสิ่งที่ชัชชาติพูดในเวทีเสวนาวิชาการนั้นเพียงบางส่วน เขายังกล่าวถึงปัญหาเรื่องผังเมืองของ กทม.ที่หลายๆ คนพูดกันมายาวนาน, อำนาจในการจัดทำผังเมืองที่ผู้ว่าฯทุกจังหวัดมีส่วนร่วม ยกเว้นผู้ว่าฯกทม., ความไม่ไว้วางใจผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของรัฐบาลชุดปัจจุบัน, อะไรจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กทม.เป็น smart city ฯลฯ
– ใครสนใจ เข้าไปดูเสวนาวิชาการนี้เต็มๆ ได้ที่: https://www.facebook.com/LawCUconference/videos/1278800209278371
#Brief #TheMATTER