“คนรัสเซียทุกคนที่เจอไม่เอาสงคราม … ไม่เห็นด้วยเลย พวกเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น มันกระทบกับทุกคน” คือคำบอกเล่าของนักเรียนไทยในรัสเซีย ที่ได้กลายมาเป็นประจักษ์พยานการคว่ำบาตรที่กระทบกับคนรัสเซีย – และคนต่างชาติในรัสเซีย – ในทุกหย่อมหญ้า
ย้อนกลับมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 เราเฝ้าดูรถถังรัสเซียค่อยๆ เคลื่อนพลข้ามฝั่งพรมแดนมาสู่ยูเครน เดาได้ไม่ยากว่าเช้าวันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันหวนกลับ
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ มาตรการคว่ำบาตรที่ชาติตะวันตกประกาศออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ขณะที่บริษัทเอกชนอย่าง Visa และ Mastercard ประกาศระงับการทำธุรกรรมในรัสเซียเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่า การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้คนก็ต้องหยุดชะงักอย่างไม่ต้องสงสัย
The MATTER พูดคุยทางไกลกับ ออมสิน—กฤตตะวัน จันทร์สงเคราะห์ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยสหพันธ์อูราล (Ural Federal University) เมืองเยคาเตรินเบิร์ก (Yekaterinburg) เพื่อสำรวจดูว่า ทั้งชีวิตคนไทยและคนรัสเซียต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง หลังจากที่รัสเซียเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรอันหนักหน่วง
สิ่งแรกที่สังเกตได้คือ บรรยากาศในเมืองที่หม่นหมองลง “ตอนที่เราไปเดินเล่นตามถนน ก็เห็นได้ชัดนะว่ามันหม่นหมองลง ประชาชนเหมือนจะเครียดๆ เงียบ ไม่พูดไม่จา โดยรวมยังไม่ถึงขนาดเศร้าหดหู่ หรือขนาดที่คนไม่ทำอะไรกันเลย มันก็ยังมีคนออกมาเดินได้ตามปกติแหละ แต่สังเกตเห็นได้ชัดเลยว่า มันเครียด มันหม่นหมองลง”
ออมสินยอมรับว่า หลังสงครามปะทุ ชีวิตของเขาได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะเรื่องการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เขาเล่าว่า “ก่อนถูกคว่ำบาตร ด้วยความที่ค่าเงินของไทยมันแข็งกว่ารูเบิล เราก็จะซื้อของกิน–ของใช้ตามร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อได้แบบไม่คิดอะไรมาก เราสามารถใช้บัตรเดบิต–บัตรเครดิตแตะได้ปกติเลย”
แต่พอถูกคว่ำบาตร มันมีเรื่องให้คิดเยอะมากขึ้น จริงอยู่ที่ว่า ค่าเงินรูเบิลตก เงินไทยจะยิ่งได้เปรียบ แต่มันกลายเป็นว่า ของในชีวิตประจําวันโดยปกติ ราคามันแพงขึ้น ทั้งอาหารและของใช้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตเลย ร้านค้าหลายๆ ร้าน เริ่มปรับราคาให้มันแพงขึ้น
โดยเฉพาะหลังจากที่ Visa และ Mastercard ระงับการทำธุรกรรมในรัสเซีย ออมสินบอกกับเราว่า วันนี้ (8 มีนาคม) บัตรใช้งานไม่ได้แล้ว “มันก็เครียดนะ ก็ต้องไปกดรูเบิลมาสำรองเอาไว้ และต้องไปซื้อของมาตุนไว้ด้วย เพราะว่าเดี๋ยวมันจะยิ่งแพงขึ้นไปอีก” เขาอธิบายว่า ตัวเองไม่สามารถนำเงินในบัญชีออกไปใช้ได้เลย วิธีหนึ่งที่ทำได้คือ อาศัยรุ่นพี่ที่มีบัตร UnionPay กดเงินให้
นอกจากเรื่องเงิน สิ่งหนึ่งที่ออมสินกังวล คือเรื่องของความปลอดภัยในชีวิต เขาบอกว่า “มีคิดขึ้นมาบ้าง ด้วยความที่เป็นต่างชาติด้วยแหละ และถ้าไปเรียนตอนกลางค่ำกลางคืน มันอาจจะต้องมีเดินกลับมาบ้าง มันก็จะมีความเปลี่ยว โจรก็จะเยอะขึ้น” รวมถึงกรณีที่มีการชุมนุม ก็ต้องพยายามไม่เข้าไปใกล้แถวนั้น เพราะถ้าตำรวจเห็น ก็อาจจะโดนตำรวจเข้าชาร์จได้
การปิดกั้นสื่อและโซเชียลมีเดียในรัสเซีย ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กระทบกับชีวิตนักเรียนไทย ออมสินบอกว่า ทั้ง Facebook, Instagram, Twitter รวมถึง LINE จำเป็นต้องเข้าใช้ผ่าน VPN ทุกแอพฯ และแม้จะมองว่า ตัวเองไม่ถึงกับตกข่าวเสียทีเดียว แต่เขาก็เล่าให้ฟังว่า สื่อโดนปิดไปเยอะ ส่วนสื่อในรัสเซียก็จะนำเสนอข่าวในมุมมองที่ต้องการให้คนรัสเซียรู้เท่านั้น ในทำนองที่ว่า “ยูเครนไม่ได้รับผลกระทบจากสงคราม” ขณะที่ “ทางฝั่งรัสเซียก็ส่งอาหารไปช่วยทหารยูเครน” เป็นต้น
สำหรับสถานการณ์ในวันข้างหน้า ออมสินบอกว่ายังไม่ถึงขั้นต้องโยกย้ายกลับไทย แต่ก็มีเตรียมใจไว้บ้างแล้ว “ถ้าพวกร้านค้าหรือสตรีทฟู้ดพากันปิดตัว ก็อาจจะอยู่ไม่ได้แล้ว อาจจะต้องกลับ หรือถ้าการประท้วงถึงขั้นใช้อาวุธปืน หรือรวมตัวกันเป็นขบวนใหญ่ ชัตดาวน์เมือง ก็ไม่น่าจะอยู่ได้แล้วนะ ก็ต้องเตรียมตัว คือเตรียมใจเผื่อไว้ก่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นเก็บข้าวเก็บของรอ” เขาเล่า
หากจะมีการโยกย้าย ก็คงต้องขึ้นอยู่กับสถานทูตฯ ไทย กรุงมอสโก ว่าประเมินสถานการณ์อย่างไร ซึ่งออมสินบอกว่า สถานทูตฯ ก็แจ้งมาตลอดว่าแนวโน้มสถานการณ์เป็นอย่างไร พร้อมทั้งมีแบบฟอร์มให้ลงทะเบียนเผื่อกรณีฉุกเฉิน รวมถึงมีการรวมกลุ่มคนไทยในแอพฯ Telegram แทน Facebook ที่ยังเข้าถึงได้ยาก ณ เวลานี้
สุดท้ายนี้ ออมสินเปิดใจว่า ไม่อยากให้เหมารวมหรือเกลียดชังคนรัสเซีย เพราะคนที่นี่ไม่มีใครเอาสงคราม “พวกเขาส่วนใหญ่เป็นประชาชนคนธรรมดา” ออมสินเล่า “เขาไม่ได้ต้องการสงครามเลยจริงๆ ชีวิตประจำวันเขาก็ยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งมาโดนคว่ำบาตร คนก็ตกงาน มีเพื่อนของเพื่อนที่รู้จักตกงาน พอร้าน H&M ปิดตัวออกไป คนทำงานก็ตกงานกันหมดเลย
“พวกเขาก็เป็นกังวลกันนั่นแหละ เขาก็เครียดกัน มันก็เป็นเรื่องตกงาน ไม่มีงานทำ ของก็แพง มีเพื่อนบางคนในคลาสเขาก็ยังเป็นห่วงต่างชาติ ห่วงคนไทยเลยนะ ว่า “ยูจะกลับไหม ยูเตรียมเงินไว้หรือยัง เดี๋ยวบัตรมันจะใช้ไม่ได้นะ” เขาเครียดกันจริงๆ นั่นแหละ คุยกันเป็นเรื่องปกติเลย ว่าวันนี้จะยังไงดี ค่าเงินเราจะยังรอดไหม”
เขาถึงได้ออกมาประท้วงกัน คือเขาไม่ต้องการจริงๆ คนที่ถูกจับไปก็เยอะ อย่างในมอสโกที่มีการชุมนุมใหญ่ๆ ก็โดนจับหมด ขนาดเมืองที่อยู่ ยังชุมนุมไม่เยอะ เขาจะมาชุมนุมกันตรงจัตุรัสกลางเมือง ก็มีโดนจับไปบ้าง เด็กเล็กเด็กน้อยก็โดน อนาคตเขามันก็จบ ซึ่งมันก็น่าเศร้าอยู่นะ
แม้จะมีบ้างที่สนับสนุนปูติน แต่คนรัสเซียส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องการใช้ชีวิตอย่างปกติ และยังรักในมนุษยธรรมไม่ต่างจากคนทั่วโลก จะเห็นได้จากการชุมนุมประท้วงที่มีผู้คนออกมารวมตัวกันอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้ในขณะนี้ จากข้อมูลของ OVD-Info องค์กรสิทธิมนุษยชนอิสระในรัสเซีย ระบุว่า มีชาวรัสเซียถูกจับไปมากกว่า 10,000 คนแล้ว