คงจะดีไม่น้อย ถ้าเราสามารถกลับไปไถฟีดอินสตาแกรมแล้วเจอโพสต์ที่เรียงตามไทม์ไลน์ที่โพสต์จริง ถ้าเราสามารถเข้าใจการทำงานของระบบอัลกอริทึมมากกว่าเดิม หรือถ้าเราเชื่อถือโลกออนไลน์ได้มากขึ้นในช่วงที่มีวิกฤตการณ์
และคงต้องแสดงความยินดีกับประชาชนในสหภาพยุโรป (EU) ล่วงหน้า เนื่องจากรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปลงมติออกกฎหมายควบคุมโลกออนไลน์ โดยบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ปรากฎในแพลตฟอร์มตัวเองมากกว่านี้
โดยการบังคับใช้ของกฎหมายใหม่นี้จะครอบคลุมถึงการขอให้แพลตฟอร์มลบเนื้อหาและสินค้าที่ผิดกฎหมายออกให้ไวขึ้น รวมถึงบังคับให้แพลตฟอร์มมีการมาตรการที่เข้มงวดกว่านี้ ต่อการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่นี้ บริษัทนั้นๆ อาจต้องเจอกับค่าปรับ
ตัวบทกฎหมายโดยละเอียดนั้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่รูปแบบของกฎหมายใหม่ จะมีลักษณะดังนี้
- ห้ามไม่ให้มีการ Target advertising (หรือการโฆษณาออนไลน์รูปแบบที่เน้นโฆษณาตรงสู้ผู้ชมเฉพาะกลุ่มที่มีคุณสมบัติบางอย่างตรงกัน) ที่มีพื้นฐานจากความเชื่อทางศาสนา รสนิยมทางเพศ และเชื้อชาติ
- ห้ามไม่ให้มี Dark patterns (หรือ UI ที่ชวนให้ผู้ใช้สับสนในการเลือกอะไรบางอย่าง) และการยกเลิกการเป็นสมาชิก (Subscriptions) จะต้องง่ายพอๆ กับการสมัคร
- แพลตฟอร์มออนไลน์ยักษ์ใหญ่ต้องเปิดเผยระบบการทำงานของการแนะนำโดยอัลกอริธึม (เช่น ทีวีโชว์ที่แนะนำในเน็ตฟลิกซ์) ต่อผู้ใช้งาน และผู้ใช้งานควรเลือกได้ว่าจะเลือกระบบการแนะนำอัลกอริทึมที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบัญชีผู้ใช้ได้ เช่น ในอินสตาแกรม ผู้ใช้ก็จะสามารถเห็นโพสต์ที่ไทม์ไลน์ก็จะเป็นตามลำดับเวลา
- แพลตฟอร์มออนไลน์และผู้ให้บริการเว็ปไซต์ต้องอธิบายให้ชัดเจนถึงเหตุผลที่ต้องเอาเนื้อหาผิดกฎหมายออก และทำให้ผู้ใช้บริการสามารถขอลบออกได้ โดยปล่อยให้นิยามของ ‘เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย’ ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ
- แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด จะต้องมอบ Key Data (ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางธุรกรรม) แก่นักวิจัย เพื่อให้เกิดการทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงในโลกออนไลน์
- พื้นที่ขายสินค้าออนไลน์ต้องให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ค้าขายในพื้นที่ของตัวเอง เพื่อติดตามการค้าขายสินค้าและบริการของปัจเจกที่อาจผิดกฎหมาย
- แพลตฟอร์มใหญ่จะต้องเสนอกลยุทธ์ใหม่ในการจัดการกับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในช่วงที่มีวิกฤตการณ์
โดยจะมีการแบ่งประเภทบริษัทเทคโนโลยีด้วยขนาดที่แตกต่างกัน และจัดให้มีข้อบังคับใช้ที่มากยิ่งขึ้น ในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยบริษัทที่ใหญ่ คือบริษัทที่มีผู้ใช้อย่างน้อย 45 ล้านคนใน EU เช่น Meta และ Google เป็นต้น
แม้ว่ากฎหมายนี้จะยังบังคับใช้แค่กับประชาชน EU แต่การออกกฎหมายนี้ย่อมส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ว่าจะต่อตัวบริษัทเทคโนโลยีเอง หรือนิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาที่ก็กำลังพยายามควบคุมบริษัทเทคโนโลยีด้วยกฎหมายของตัวเอง
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/2022/04/22/technology/european-union-social-media-law.html
https://www.techtarget.com/whatis/definition/targeted-ad-targeted-advertising