วันนี้ (22 มิ.ย. 2565) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เข้าร่วมงานสัมมนา ‘สู่โอกาสใหม่ Stronger Thailand’ ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ซอยรางน้ำ ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์มติชน โดยเป็นการเปิดวงสนทนาถึงอนาคตของประเทศไทย ร่วมกับ เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และมี สรกล อดุลยานนท์ หรือ ‘หนุ่มเมืองจันท์’ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในบางช่วงของการพูดคุย หนุ่มเมืองจันท์ได้ถามถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนกรณีกู้เงินเพื่อดำเนินการสร้างรถไฟความเร็วสูง เมื่อครั้งที่ชัชชาติเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ระบุว่า “อดีตก็อดีตนะ ผมว่า สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไป ก็มองอนาคตครับ อดีตเราไปล้วงไม่ได้ เป็นบทเรียน ดูไปในอนาคต” ก่อนที่จะตอบคำถามที่ว่า ได้บทเรียนอะไรบ้างว่า “เวลามีค่า” พร้อมกับหัวเราะ
เขายังอธิบายถึงประเด็น ‘ถนนลูกรัง’ ซึ่งนับเป็นการเปิดใจครั้งแรกด้วยว่า “ถนนลูกรังคือเครื่องชี้ความเจริญของประเทศนะ เมื่อไรที่ความเจริญเข้าไป ถนนลูกรังจะไปก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นลาดยาง คอนกรีต ถ้าประเทศไหนที่ไม่มีถนนลูกรัง คือหยุดเจริญ มันคือตัวที่นำความเจริญเข้าไป แล้วมันจะค่อยๆ เปลี่ยน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า อเมริกา dirt road เยอะแยะไปหมด ก็เป็นถนนแบบฝุ่น แล้วพอคนเยอะขึ้น มันก็เปลี่ยน”
ก่อนที่จะให้วิสัยทัศน์ถึงอนาคตของเมืองว่า “ถามว่าเมืองในอนาคตแข่งกันที่อะไร ไม่ได้แข่งกันที่รถไฟฟ้า ไม่ได้แข่งกันที่ตึกรามบ้านช่องนะ มันแข่งกันว่า เมืองไหนดึงคนเก่ง หรือว่าสร้างคนเก่งได้มากกว่ากัน เพราะคนเก่งคือคนที่สร้างงาน สร้างธุรกิจต่างๆ อย่างในอเมริกา คนเก่งไม่ใช่คนอเมริกันนะ มันกลายเป็นคนไทย คนจีน คนอินเดีย ที่เค้าดึงดูดไปได้
“ถ้าในส่วนของ กทม. ก็เป็นเรื่องคุณภาพชีวิตแหละ มันต้องมีเมืองที่อากาศดี ไม่มีขยะ–น้ำเสีย เดินทางสะดวก ถ้าเกิดในแง่ของรัฐบาล อาจจะเป็นเมืองที่มีความยุติธรรม กฎหมายตอบสนองเร็ว ไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน”
บนเวทีดังกล่าว ชัชชาติยังให้ข้อคิดอีกว่า 10 วันที่ผ่านมา เขาเห็นความหวังมาก โดยเล่าย้อนไปถึงคืนที่ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 ถึงประโยคหนึ่งที่เขาพูดว่า “จริงๆ แล้ว ปัญหาที่ผ่านมาของบ้านเรา เรามีความขัดแย้งกันเยอะ ทะเลาะกันเยอะ เราแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เราใช้อารมณ์ความรู้สึก”
ในเรื่องนี้ เขาอธิบายว่า “ซึ่งจริงๆ แล้ว พอเราขัดแย้งกับปุ๊บ จะมีคนกลุ่มหนึ่งได้ผลประโยชน์จากความขัดแย้งตรงนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราหันหน้าเข้าหากัน รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เราใช้เหตุผลให้มากขึ้น ผมคิดว่า ประเทศไทยไปได้ ไม่มีเวลาไหนที่เหมาะกว่าเวลานี้อีกแล้ว”
อ้างอิงจาก
https://www.youtube.com/watch?v=Yn9dnCiMnPk