กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง สำหรับดราม่า ‘ชุดลูกเสือ–เนตรนารี’ หลังปลัดกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ให้ช่วยสนับสนุนช่วยเหลือในการจัดหาชุดเครื่องแบบแก่ผู้ปกครองที่มีฐานะยากจนขัดสน
จนกระทั่งในวันนี้ (28 มิ.ย. 2565) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ออกมาให้ความเห็นถึงคำสั่งดังกล่าวว่า ถ้าเป็นคำสั่งก็ต้องทำ กทม.พร้อมจะเป็นธุระให้ แต่ก็ย้ำด้วยว่า “งบเราไม่มีก็ส่งมาด้วย”
ความเห็นของชัชชาติก็ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกลับมาสนใจเรื่องนี้อีกครั้ง รวมถึงตั้งคำถามต่อคำสั่งของกระทรวงมหาดไทยโดยตรง ซึ่งก็เป็นเพราะว่า ปัญหาเรื่องชุดราคาแพงยังไม่ได้รับการแก้ไขสะสางให้ชัดเจน แม้กระทรวงศึกษาธิการจะย้ำว่าให้โรงเรียนยืดหยุ่นได้ก็ตามที
The MATTER สรุปเรื่องราวทั้งหมดมาไว้ในโพสต์นี้
1.
เรื่องนี้มีที่มาที่ไปจากหนังสือของกระทรวงมหาดไทย (มท.) ที่ มท 0105.2/ว4440 ลงนามโดย สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2565 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอให้สนับสนุนช่วยเหลือในการจัดหาชุดลูกเสือ–เนตรนารีแก่ผู้ปกครองที่มีฐานะยากจนขัดสน
หนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาว่า หลังจากที่สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ได้จัดประชุมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2565 ปลัด มท. ในฐานะรองประธานกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติ ก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการแต่งกายชุดลูกเสือ–เนตรนารี จึงมีคำสั่งมายังผู้ว่าฯ ถึงประเด็นข้างต้น
2.
แต่ทำไมคณะกรรมการบริหารลูกเสือแห่งชาติต้องนัดมาประชุมกัน? ต้องเล่าย้อนกลับไปอีก ถึงดราม่าชุดลูกเสือ–เนตรนารี ที่หลายคนอาจจะได้ยินกันมาตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งมีหลายฝ่ายออกมาตั้งคำถามถึงความจำเป็นของการแต่งกายชุดลูกเสือ–เนตรนารี กับราคาชุดที่แพงเกินไป
โพสต์หนึ่งที่ได้รับความสนใจคือโพสต์ของเพจ Drama-addict เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่แสดงภาพใบเสร็จชุดลูกเสือและอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมกับคำบรรยายว่า “ตัวอย่างใบเสร็จชุดลูกเสือจากลูกเพจ ก็ประมาณนี้ครับ จะได้เห็นภาพว่าค่าใช้จ่ายชุดลูกเสือ ณ ปัจจุบัน สร้างภาระกับพ่อแม่ผู้ปกครองขนาดไหน อันนี้สองชุดครับ” กับราคารวม 2,680 บาท
3.
The MATTER เอง ก็เคยลงพื้นที่ไปสำรวจราคาเครื่องแบบในย่านบางลำพู หากยกตัวอย่างชุดลูกเสือสามัญ พบว่ามีราคาทั้งชุดอยู่ที่ประมาณ 1,021-1,440 บาท ขณะที่ชุดเนตรนารีสามัญ พบว่ามีราคาอยู่ที่ประมาณ 992-1,400 บาท ยังไม่รวมเครื่องหมายประกอบต่างๆ (อ่านต่อที่: https://thematter.co/social/boy-scout-uniform-price/177358)
4.
ในเรื่องนี้ มีอยู่โพสต์หนึ่งที่เสนอทางแก้ปัญหา และก็ได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก คือ โพสต์ของเพจ ‘ครูแว่นดำ’ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ซึ่งมาพูดถึงประเด็นดราม่านี้ ก่อนจะเสนอว่า ให้แก้ปัญหาด้วยการแต่งกายแบบยืดหยุ่น
เพจ ‘ครูแว่นดำ’ อธิบายว่า “ผมนึกไปถึงลูกเสือชาวบ้านที่ไม่ต้องมีเครื่องแบบ มีแค่ผ้าผูกคอกับวอกเกิ้ลที่ใส่กับชุดอะไรก็ได้ ถ้าให้นักเรียนใส่ชุดนักเรียนหรือชุดพละ (ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว) แล้วซื้อแค่ผ้าผูกคอกับวอกเกิ้ลมาใส่ แบบนี้จะดีไหม ส่วนตัวคิดว่าเข้าท่าดีเหมือนกัน หมดปัญหาเรื่องชุดเครื่องแบบแพง แล้วก็ยังได้เรียนวิชาดี ๆ มีประโยชน์เหมือนเดิม มีแต่ได้กับได้”
5.
ดราม่านี้ก็เหมือนจะเป็นอันจบไป หลัง ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2565 กำชับสถานศึกษาว่า ให้ยืดหยุ่นได้ ไม่จำเป็นต้องแต่งเครื่องแบบลูกเสือ–เนตรนารีเต็มยศ แต่ให้มีเครื่องหมายสัญลักษณ์เฉพาะที่บ่งบอกให้รู้ว่าเรียนวิชาลูกเสือ
6.
แต่ที่ไม่จบ ก็เป็นเพราะหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ได้กล่าวถึงไปตั้งแต่แรก ซึ่งนอกจากจะระบุว่า การแต่งกายชุดลูกเสือ–เนตรนารี “เป็นการปลูกฝังความรัก ความภาคภูมิใจในความเป็นลูกเสือและเนตรนารี” อีกทั้งยังเป็น ‘เครื่องแบบพระราชทาน’ ปลัด มท.ยังกล่าวในข่าวของกระทรวงเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2565 อีกว่า
“วิชาลูกเสือ–เนตรนารี เป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญในการปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติที่หลอมรวมความเป็นชาติไทย ความสมัครสมานสามัคคี”
7.
หนังสือคำสั่งที่ว่านี้ ประกอบกับความเห็นของปลัด มท. ก็ทำให้หลายฝ่ายมีปฏิกิริยาจนกลายเป็นดราม่าอีกระลอกในช่วงวันที่ผ่านมานี้ เริ่มจากพรรคที่ก้าวไกล ที่มี สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม และรองโฆษกพรรค ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2565 ว่า
“การอ้างเหตุผลดังกล่าวเพื่อนำไปสู่สภาพบังคับในระบบการศึกษาไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะเราอยู่ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน โรงเรียนในเวลานั้นส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนหลวง หรือต่อมาแม้มีการศึกษาภาคบังคับแล้ว แต่ยังเป็นสิ่งใหม่ของสังคมไทยและในความเป็นจริงก็ยังเข้าถึงในวงจำกัดจึงสามารถจัดการศึกษาที่ฟรีตามกำลังได้
“หากยืดหยุ่นจริงดังที่รัฐมนตรีกล่าว เหตุใดจึงต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด จัดหาชุดลูกเสือ–เนตรนารีด้วย นี่เป็นการใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลืองและไม่เกิดประโยชน์ จริงอยู่ว่าการจัดหาชุดให้เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง แต่ด้วยสภาพการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน กระทบกันไปทุกหย่อมหญ้า จำนวนครอบครัวที่ไม่มีกำลังจ่ายค่าชุด ย่อมมีเป็นจำนวนมาก”
8.
แต่ก็ไม่ได้มีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตรีนุช รัฐมนตรี ศธ. คนเดิม ก็ได้ออกมาให้ความเห็นในวันนี้ (28 มิ.ย. 2565) ว่า การที่ มท.มีหนังสือให้ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ สนับสนุนชุดลูกเสือ–เนตรนารี ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี เป็นการช่วยเหลือบรรเทาภาระให้แก่ผู้ปกครอง แม้ไม่มีงบให้ แต่ผู้ว่าฯ ก็สามารถจัดหางบภายในจังหวัดได้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ตรีนุชกลับมาย้ำอีกครั้งว่า ศธ.อนุโลมให้โรงเรียนยืดหยุ่นเรื่องการแต่งกายชุดลูกเสือ–เนตรนารี โดยมีระเบียบรองรับมาตั้งแต่ปี 2529 ว่าสามารถดำเนินการได้
9.
มาถึงความเห็นของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ที่กลายมาเป็นสิ่งที่จุดประเด็นถกเถียงเรื่องชุดลูกเสือ–เนตรนารีอีกครั้งในวันนี้ ซึ่งอันที่จริง เป็นเพียงการตอบคำถามของสื่อมวลชนที่ถามถึงคำสั่งของ มท.เท่านั้น
ในเรื่องนี้ ชัชชาติบอกว่า ถ้าเป็นคำสั่งก็ต้องทำ ถ้าจะทำก็อย่าให้เป็นภาระประชาชน และ กทม.ก็จะเป็นธุระให้ ซึ่ง กทม.มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว และ กทม.เป็นผู้ดูแลโรงเรียน ก็ต้องดูแล แต่ มท.จะต้องสนับสนุนในส่วนของงบประมาณ พร้อมย้ำว่า “ท่านสั่งมานะ แต่ว่างบเราไม่มีก็ส่งมาด้วย”
ชัชชาติยังให้ความเห็นถึงการแต่งกายชุดลูกเสือ–เนตรนารีด้วยว่า ต้องดูว่าจะมีรูปแบบใดที่ทำให้ง่ายขึ้นได้หรือไม่ เพราะชุดเป็นแค่ส่วนหนึ่ง อยู่ที่การฝึกวินัยและแนวคิดมากกว่า
“ต้องดูว่าจะปรับรูปแบบได้อย่างไร ง่ายขึ้นได้ไหม หรือต้องเป็นแบบนี้ มีคำสั่งมา เป็นนโยบายต้องทำตาม แต่ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายคงต้องดูงบประมาณ อย่างที่บอกถ้าเป็นคำสั่งน่าจะมีงบประมาณมาให้เราด้วย” ชัชชาติระบุ
10.
การออกมาให้ความเห็นของชัชชาติ จึงทำให้หลายฝ่าย โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ย้อนกลับมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำสั่งที่ลงนามโดยปลัด มท. และยิ่งมีความเห็นที่ตอกย้ำถึงความเป็น ‘ชุดพระราชทาน’ กับปัญหาชุดราคาแพงที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ทำให้ดราม่าเรื่องนี้ยังไม่ได้บทสรุป
ยกตัวอย่างเช่น เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ รองศาสตราจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ปลัด มท. จะมาหาเหตุสั่งการลอยๆ ว่า ต้องใส่ชุดลูกเสือเนตรนารีต่อไป แต่ไม่ให้งบประมาณมาแจกชุดกับผู้ปกครองของเด็กทุกคน คนละ 2-3 พันทุกปี พวกผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด เค้าจะเอางบที่ไหนล่ะ”
เจษฎาชี้อีกว่า “ควรเลิกทำตัว ultra conservationist กันได้แล้ว อยู่ในโลกความจริง ถ้างบไม่ให้ และผู้ปกครองเดือดร้อน ก็ใส่แบบลำลอง เอาแต่ผ้าพันคอทับชุดนักเรียน ก็พอแล้ว”
ด้าน สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ ‘บก.ลายจุด’ นักกิจกรรมทางการเมือง ได้แสดงความเห็นว่า “อย่าไปอ้างชุดพระราชทานครับ เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเงื่อนไขเปลี่ยนผู้ที่เป็นผู้คิดเรื่องนี้ก็อาจมีข้อเสนอให้เปลี่ยนแปลงได้ ให้มุ่งเน้นที่ประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่แข็งทื่อไม่เข้าใจบริบททางสังคมและท่องอยู่แต่ว่าเป็นชุดพระราชทาน”
11.
ทางฝั่ง เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต พรรคก้าวไกล อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ตั้งข้อสงสัยถึงคำสั่งของ ปลัด มท. อยู่หลายประเด็นด้วยกัน
ประเด็นหนึ่ง คือ คำสั่งดังกล่าวไม่ระบุชัดเจน นับเป็นวิธีการสั่งการอย่างคลุมเครือ ทั้งในเรื่องมาตรการ ว่าจะช่วยเหลือใคร เป็นจำนวนเท่าไร เรื่องแหล่งงบประมาณ และเรื่องการเบิกจ่าย
อีกประเด็นหนึ่ง คือ ชุดเครื่องแบบลูกเสือในปัจจุบัน มีการประกาศกฎกระทรวงโดยรัฐมนตรี ศธ. เมื่อปี 2510 เขาจึงตั้งคำถามว่า “การเปลี่ยน/ไม่เปลี่ยน/ใช้/ไม่ใช้ ชุดเครื่องแบบลูกเสือจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาล/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารลูกเสือจะดำเนินการได้ ทำไมปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงอ้างถึงชุดเครื่องแบบพระราชทาน
“ผมยังหวังว่าจะได้รับคำชี้แจงจากปลัดกระทรวงมหาดไทย แทนที่จะผลักภาระไปให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด เช่นในคำสั่ง” เดชรัตกล่าว
อ้างอิงจาก