วันนี้ (21 ก.ค. 2565) เข้าสู่วันอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 3 ในสภาฯ ‘จิราพร สินธุไพร’ ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปราย ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งออกคำสั่งปิดเหมืองทองอัครา จนสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศ
ก่อนอภิปราย จิราพรกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ก่อน โดยมีข้อหาดังนี้
- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน เป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำความผิด ใช้ ม.44 และมติ ครม. วันที่ 10 พ.ค. 2559 ออกคำสั่งระงับกิจการเหมืองแร่ทองคำ จนผิดพลาดเสียหาย และยังมีพฤติการณ์จงใจละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้จะมีหน่วยงานสำคัญเตือนหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบระงับยับยั้งป้องกันความเสียหายในทันที
- มีพฤติกรรมเบียดบังนำงบประมาณแผ่นดิน และผืนแผ่นดินของประเทศ ไปเจรจาแลกเปลี่ยนกับบริษัทเอกชนต่างชาติ เพื่อให้ตนเองพ้นจากความรับผิดทางกฎหมาย เข้าข่ายกระทำผิดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายในเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์
- เป็นผู้ได้รับประโยชน์ทางตรงหรือทางอ้อม จากการไม่เร่งรีบ และชักช้าในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกคำสั่งที่ 72/2559 ถือเป็นการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศไทย
จิราพรชี้ว่า การใช้ ม.44 ปิดเหมืองทองอัคราของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคดีแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่นายกฯ เป็นตัวการสำคัญในการกระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจเผด็จการ ซึ่งไม่ได้มาแก้ปัญหา แต่มาสร้างปัญหา
จากเอกสารราชการที่ไปสืบค้นมาเพิ่มเติม ทำให้ทราบว่า ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคัดค้านการใช้ ม.44 และมีหลายครั้งที่มีหน่วยงานเสนอความเห็น หาก พล.อ.ประยุทธ์นำไป พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็จะทำให้ประเทศไม่เสียหายเหมือนที่เกิดขึ้นในตอนนี้
เอกสารที่สำคัญ ที่จิราพรยกมา คือ ความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อเดือน ม.ค. 2561 ซึ่งถูกนำส่งไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่ไทยถูกบริษัทคิงส์เกต คอนโซลิเดทเต็ด ฟ้องร้อง โดยเสนอให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่สั่งปิดเหมือง และคืนสิทธิให้กับบริษัทเอกชนไป
ทั้งนี้เป็นเพราะว่า สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นว่า ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังไม่สามารถเป็นประโยชน์ในการสู้คดีที่บริษัทคิงส์เกตฟ้องร้องในชั้นอนุญาโตตุลาการได้ ขณะที่หนังสือของกระทรวงอุตสาหกรรมยังชี้ว่า รัฐบาลถึงขนาดจะสร้างหลักฐานเท็จเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสู้คดี นั่นเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์รู้อยู่แก่ใจ และเล็งเห็นผลได้ว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่ชั้นอนุญาโตตุลาการ ไทยย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี
จิราพรชี้ว่า ผ่านไปกว่า 4 ปี พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่ได้ยกเลิกคำสั่งตามข้อเสนอของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ในฐานะทนายแผ่นดิน ตลอดระยะเวลา มีการอภิปรายเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง และความกังวลในภาคประชาสังคมนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังเพิกเฉยจนปัญหาขยายวงกว้างและซับซ้อนมากขึ้น
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีนี้ จิราพรแจกแจงว่ามีดังต่อไปนี้
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างไทยกับบริษัทคิงส์เกต ปีงบประมาณ 2560-2564 จำนวน 731,130,000 บาท
- ค่าภาคหลวงที่จัดเก็บไม่ได้ ตั้งแต่ปี 2560-ปัจจุบัน ราว 3,000 ล้านบาท (คิดเฉลี่ยจากค่าภาคหลวงของบริษัทอัคราฯ ปี 2555-2559)
- ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่ประเมินค่าไม่ได้
- ภาพลักษณ์ประเทศเสียหาย กระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ถ้าไทยแพ้คดี ก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 720 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 26,485 ล้านบาท แต่มีการประเมินว่า อาจสูงเฉียดแสนล้านบาท เทียบเคียงกับกรณีเวเนซูเอลา ซึ่งมีผู้ชี้ขาดเป็นคนเดียวกัน
ที่ปรึกษากฎหมายฝ่ายไทยยังมีหนังสือรายงานควาคืบหน้าอีกว่า อนุญาโตตุลาการให้ไทยกับบริษัทคิงส์เกตทำแบบจำลองความเสียหาย ซึ่งผลปรากฏว่าว่า ไม่ว่าเหมืองทองอัคราจะดำเนินการหรือไม่ดำเนินการต่อ ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยแน่นอน
ทำให้จิราพรกล่าวด้วยว่า ถ้าบอกว่าจะยืมเพื่อนมาชดใช้ ก็จะหยุดอภิปราย แต่ที่พูดมาทั้งหมด มันคือเงินภาษีของประชาชน คือทรัพย์สินของประเทศ คือเกียรติยศศักดิ์ศรีของคนไทย เป็นผลประโยชน์ของประชาชน จึงยังต้องอภิปรายทวงถามความจริงอยู่
ต่อมาเมื่อปี 2564 ผลปรากฏว่า ไทยยอมทำตามข้อเรียกร้องของบริษัทคิงส์เกต 11 ข้อ เพื่อให้ไม่ต้องมีการดำเนินการในชั้นอนุญาโตตุลาการต่อไป ซึ่งจิราพรชี้ว่า ข้อเรียกร้องชุดนี้ ก็คล้ายคลึงกับข้อเรียกร้องที่เคยเสนอเมื่อปี 2560 แต่ในครั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ปัดตกอ้างว่าทำให้ไม่ได้ จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการฟ้องร้องในเวลาต่อมา
จิราพรตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้ว ไทยสามารถเจรจาต่อรองกับบริษัทคิงส์เกต ได้ตั้งแต่ปี 2560 เพื่อไม่ให้ฟ้องร้องได้ แต่กลับปล่อยจนเวลาล่วงเลย ปู้ยี่ปู้ยำจนเสียหาย ไปไม่เป็น จนต้องมาเจรจา
“สถานการณ์นี้ทำให้เห็นว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มอง บริษัทคิงส์เกตเป็นเหมือง แต่บริษัทคิงส์เกตมอง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหมู” จิราพรกล่าว
ก่อนที่จะทวงถามด้วยว่า ข้อเรียกร้องทั้ง 11 ข้อ มีแต่บริษัทคิงส์เกตที่ได้ประโยชน์ แล้วสรุปไทยไปเจรจา ไทยได้อะไร หาก พล.อ.ประยุทธ์อ้างว่าทำเพื่อประเทศชาติ รักชาติมากกว่าใคร แต่อยากให้ช่วยอธิบายว่า การยอมไปเจรจาและตกลงกับบริษัทคิงส์เกต เป็นการทำเพื่อชาติอย่างไร
อ้างอิงจาก
https://www.youtube.com/watch?v=Rrs5o4gflP8