หลังยื้อยุดฉุดกระชากกันมานาน ท้ายที่สุด วันนี้ (15 ส.ค. 65) ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาระหว่าง ส.ส. และ ส.ว.แต่งตั้ง ก็ล่มลงอีกครั้งหลังองค์ประชุมไม่ครบ ทำให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.) หรือกฎหมายลูกเลือกตั้งที่หลายคนอาจคุ้นผ่านคำว่า ‘สูตรหาร 100’ หรือ ‘สูตรหาร 500’ เสร็จไม่ทันเดดไลน์
เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากรู้ว่า สูตรหาร 500 อวสานแล้วยังไงต่อ? ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 จริงหรือไม่? หรือเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดอะไรขึ้น? เพื่อคลายข้อสงสัย The MATTER จึงติดต่อพูดคุยกับ อ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงกติกาการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้า และหน้าตาการเมืองไทยในอนาคต
#เลือกตั้งครั้งหน้าใช้สูตรไหนกันแน่
อ.สิริพรรณ ชี้ว่า เหตุการณ์สภาล่มในวันนี้จะทำให้ ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ฉบับสูตรหาร 500 ถึงคราอวสานไป ซึ่งจะทำให้กติกาการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งหน้า อาจต้องใช้ร่างฯ ของคณะรัฐมนตรีที่เสนอสูตรหาร 100 แทน
“เมื่อสภาล่ม เมื่อไม่เกิดการหยิบร่างไหนมาพิจารณา รัฐธรรมนูญระบุเอาไว้ว่าให้ใช้ร่างหลักซึ่งเป็นร่างที่คณะรัฐมนตรีเสนอแทน หรือก็คือ จะต้องกลับไปใช้ร่างของคณะรัฐมนตรีที่เสนอโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอมาเป็นสูตรหาร 100” นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ อธิบาย
สอดคล้องกับที่นักกฎหมายและนักวิเคราะห์การเมืองหลายท่านมองว่า เมื่อเกิดการยื้อเวลาจนพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ไม่ทันตามกำหนด ตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภาปี 2563 ข้อ 101 ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่าง พ.ร.ป. ที่ใช้เป็นหลักในการพิจารณาวาระสอง ซึ่งก็คือ ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ฉบับที่ ครม. เสนอ ทำให้ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 โดยปริยาย
จึงจะทำให้การเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งหน้าอาจมีกติกา ดังนี้
– ส.ส.เขต จะมีที่มาจากผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดในเขตนั้นๆ มากกว่าคะแนนไม่เลือกผู้ใด (no vote)
– ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะคำนวนณแยกจาก ส.ส.เขต โดยจะนำคะแนนทั้งหมดที่ทุกพรรคได้รับจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อไปหารด้วย 100 ก็จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จากนั้นให้นำคะแนนรวม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่แต่ละพรรคได้รับ มาหารด้วยคะแนนเฉลี่ย ก็จะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่พรรคพึงมีเบื้องต้น
#ใครได้ใครเสีย
หากการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นไปด้วยกติกาสูตรหาร 100 อ.สิริพรรณอธิบายว่า พรรคการเมืองในสภาอาจมีจำนวนลดลง โดยอาจลดลงครึ่งหนึ่งจนเหลือประมาณ 11-13 พรรค นอกจากนี้ เธอระบุด้วยว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์ ในขณะที่พรรคขนาดจิ๋ว 1 ที่นั่งจะเป็นพรรคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งพรรคจิ๋วพวกนี้มีแนวโน้มที่จะหายไปได้ แต่ก็ไม่ได้จะหายไปทั้งหมด
“และเมื่อจำนวนพรรคการเมืองในสภาลดลง ในแง่นึงมันก็เอื้อให้รัฐบาลอาจจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลก็จะน้อยลง เพราะตอนนี้มี 19 พรรคร่วม เวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจทีก็ต้องมาปลูกกล้วยเลี้ยงพรรคจิ๋ว ดังนั้น อำนาจต่อรองของพรรคเล็กมันก็จะลดลง เสถียรภาพมีแนวโน้มที่จะมากขึ้น” อ.สิริพรรณ กล่าว
กลับกัน หากร่างฯ สูตรหาร 500 ดันผ่านการพิจารณาขึ้นมา (ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นในวันนี้) อ.สิริพรรณ ชี้ว่า พรรคที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด คือ พรรคเสรีรวมไทยและพรรคก้าวไกล เนื่องจาก 2 พรรคนี้เป็นพรรคที่มีฐานนิยมในระดับกว้าง แต่ไม่สามารถเอาชนะในระดับ ส.ส.เขตได้
ทั้งนี้ อ.สิริพรรณ ทิ้งประเด็นที่น่าสนใจไว้ว่า ไม่ว่าสูตรเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นเช่นไร อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีโดยวุฒิสภาจะยังคงอยู่และไม่หายไป ดังนั้น การเลือกตั้งอาจไม่ได้นำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดก็ได้ “โดยมารยาททางการเมืองเนี่ย ถ้าเกิดพรรคหลักได้ที่นั่งมากที่สุดในสภา อาจจะไม่ต้องถึงครึ่ง พรรคก็ควรจะมีโอกาสจัดรัฐบาลก่อน และสังคมก็ควรจะมาร่วมกันกดดันให้ สว. 250 คน โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่พรรคนั้นๆ สนับสนุน ไม่ใช่เลือกพรรคฝั่งตรงข้าม” เธอระบุ
#2ใบต่างเบอร์
เมื่อพูดถึงร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. คนมักจะพูดถึง ‘สูตรคำนวณจำนวน ส.ส.’ เป็นหลัก แต่อีกประเด็นสำคัญที่มาพร้อม ร่างฯ คือ ประเด็นเรื่องหมายเลขประจำตัวผู้สมัครแบบเขตและบัญชีรายชื่อ และการที่สภาล้มสูตร 500 ในวันนี้ทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าจะใช้ ‘2ใบ–ต่างเบอร์’
อ.สิริพรรณเน้นย้ำว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์จากกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใส ยุติธรรม และง่ายต่อการลงคะแนน แต่ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ฉบับหาร 100 โดย ครม. จะไม่เอื้อให้เป็นเช่นนั้น “ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เราจะมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดยที่ ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคเดียวกันจะมีคนละเบอร์ ตรงนี้คือสิ่งที่ควรจะต้องแก้มากกว่า ประชาชนถึงจะได้ประโยชน์” อ.สิริพรรณ กล่าว
#ประชาชนเสียอะไรจากการล้มสูตรหาร500
โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจไว้ว่า หากรัฐสภาพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ไม่ทันกรอบเวลา นอกจากจะทำให้ต้องกลับไปใช้สูตรหาร 100 แล้ว ยังทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้า จะไม่มีบทบัญญัติที่ระบุให้อำนวยความสะดวกของประชาชนที่มาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง และไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดให้ กกต. บันทึกผลการเลือกตั้งเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และเผยแพร่ให้ประชาชนภายใน 72 ชม.
#การล้มสภาที่อันตรายต่อประชาธิปไตย
การที่รัฐสภาร่วมพยายามล้มคว่ำการพิจารณาร่างกฎหมายนี้มาร่วมเดือน ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่านี่จะกลายเป็นสูตรสำเร็จในการปฏิเสธกฎหมายของรัฐสภาไทยในอนาคตหรือไม่ ซึ่ง อ.สิริพรรณ มองว่า พฤติกรรมการพยายามล้มสภาเพื่อหยุดการพิจารณาร่างกฎหมายเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย “ถือว่าเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างมาก เพราะว่า parliament (รัฐสภา) มันคือพื้นที่ถกอภิปราย แต่การที่คุณเลี่ยงการอภิปรายโดยการคว่ำ แบบนี้มันอันตรายและมันจะก่อให้เกิดการตั้งคำถามถึงหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร”
“ไม่อยากเห็นการใช้แท็กติกแบบนี้ทางการเมืองอีกต่อไปในอนาคต เพราะว่ามันจะทำให้กลายเป็นข้ออ้างของอำนาจนอกระบบของพวกที่ต่อต้านประชาธิปไตย คือเข้าใจว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แต่ว่าไม่เห็นด้วย เพราะควรจะใช้พื้นที่สภาในการโหวตกันให้จบมากกว่า” อ.สิริพรรณ กล่าว
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก
https://thematter.co/social/new-mp-election-rules/178651
https://www.ilaw.or.th/node/6217
https://www.bbc.com/thai/thailand-62049916