“ถ้าเราทำงานวิชาการสักชิ้นแล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมาเนี่ย เช่น คนนอกฟ้อง ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้บริหารทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและคณะ จะเอาเราใส่พานทองฝังเพชรยื่นให้แน่นอน ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะได้รับการพิทักษ์คุ้มครองจากองค์กรที่เราอยู่” วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์กล่าว
ช่วงบ่ายของเมื่อวาน (20 ก.ย.) สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้จัดเวทีเสวนาชื่อ “ถ้าจะปิดปากกันขนาดนี้ จะมีอาจารย์ไว้ทำไม? : มหาวิทยาลัยไทยกับความถดถอยของเสรีภาพทางวิชาการ” โดยได้เชิญ 4 นักวิชาการ ได้แก่ ธงชัย วินิจจะกูล มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน, ฉลอง สุนทราวาณิชย์ อดีตอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และเข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
ประเด็นในวันนี้ถูกตั้งขึ้นหลังมีคดีความระหว่าง ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต ยื่นฟ้อง ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” และผู้เกี่ยวข้องรวม 5 คน โดยกล่าวหาว่ามีบางข้อความที่ทำลายชื่อเสียงต้นตระกูลรังสิต และเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 50 ล้านบาท
ณัฐพลยอมรับว่ามี 1 จุดที่ตัวเองตีความพลาดไปจริง และยืนยันจะแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวให้แล้ว อย่างไรก็ตาม ทางจุฬาฯ ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของลิขสิทธิ์และผู้มอบรางวัล ‘วิยานิพนธ์ยอดเยี่ยม’ ให้แก่งานชิ้นดังกล่าว ยืนยันตามระเบียบของวิทยานิพนธ์ว่าแก้ไขไม่ได้ จึงได้มีการถอนวิทยานิพนธ์ดังกล่าวออกจากระบบไป แต่คดีความยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ แรกเริ่มงานเสวนาครั้งนี้จะจัดขึ้นภายในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากข้อจำกัดด้านมาตรการป้องกัน COVID-19 ทำให้ทีมผู้จัดต้องย้ายมาที่สถาบันวิจัยสังคม อาคารวิศิษฐ์ ประจวบเหมาะ ซึ่งเป็นอาคารข้างๆ แทน
นำไปสู่คำถามว่า มหาวิทยาลัยได้ปกป้องเสรีภาพทางวิชาการมากแค่ไหน และยืนอยู่ข้างอาจารย์และนักศึกษาซึ่งเป็นบุคลากรของพวกเขามากแค่ไหน
The MATTER สรุปประเด็นจากงานดังกล่าวมาได้ ดังนี้
1.เสรีภาพวิชาการสำคัญ วิทยากรทุกคนเห็นด้วยว่าเสรีภาพทางวิชาการเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความรู้เป็นสิ่งไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่ดีและเหมะสมกว่ามีอยู่เสมอ ซึ่งผู้ที่จะค้นหาความรู้ใหม่ต้องพังทลายออกจากกรอบเดิมๆ ซึ่งบางครั้งต้องเสี่ยงตัวเอง ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงมีหน้าที่ต้องปกป้องผู้ค้นหาความรู้ใหม่เหล่านี้ ให้พวกเขาได้ผิดพลาด ได้คบคิด และได้โต้เถียง
อย่างไรก็ตาม ธงชัยมองว่า เสรีภาพวิชาการไทยตกต่ำลงไปมากในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานี้ หรือตั้งแต่หลัง คสช. เข้ามามีอำนาจ แต่คนอื่นอาจมองต่างออกไป เช่น วาสนามองว่าตัวเองไม่เคยรู้สึกถึงเสรีภาพทางวิชาการตั้งแต่เริ่มสอนที่จุฬาฯ เพราะหลายครั้งต้องเปลี่ยนข้อความบางอย่างที่ตัวเองเขียนลงไป
“ถ้าเราทำงานวิชาการสักชิ้นแล้วเกิดมีปัญหาขึ้นมา เช่น มีคนนอกฟ้องงานเรา ค่อนข้างมั่นใจว่าผู้บริหารทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและคณะ จะเอาเราใส่พานทองฝังเพชรยื่นให้แน่นอน ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะได้รับการพิทักษ์คุ้มครองจากองค์กรที่เราอยู่” วาสนากล่าว
2.งานวิชาการไม่สมบูรณ์แบบ ธงชัยและเข็มทองเห็นตรงกันว่างานวิชาการก็สามารถผิดพลาดได้ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด และงานชิ้นใหม่ของนักวิชาการทำขึ้นเพื่อต่อยอด อุดรอยรั่ว องค์ความรู้เดิม เพื่อทำให้ความรู้เดินไปข้างหน้าได้ต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง เพราะมันเป็นธรรมชาติของความรู้ที่จะไม่หยุดนิ่งอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เข็มทองตั้งคำถามเชิงว่าจุฬาฯ สองมาตรฐานหรือไม่ เพราะในหลายปีที่ผ่านมา มีวิทยานิพนธ์ที่ผิดพลาดและอาจารย์ต้องปล่อยผ่านเยอะแยะ ด้วยหลายสาเหตุ เช่น วิทยานิพนธ์จากกลุ่มผู้เรียนหลักสูตรพิเศษ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้เงินจำนวนมากจากผู้เรียน แล้วขณะที่งานเหล่านี้ไม่เคยเกิดปัญหา ทำไมวิทยานิพนธ์ของนัฐพลถึงเกิดปัญหา
เข็มทองกล่าวต่อว่า หรือเป็นเพระว่างานเหล่านั้นไม่อันตรายต่อ ‘รัฐไทย’ ผิดกับงานของณัฐพลที่ดีเกินไป อันตรายเกินไป น่าเชื่อถือเกินไป และชวนให้คนคิดต่อมากเกินไป
3.โครงสร้างของมหาวิทยาลัยไทย ประเด็นย่อยจากข้อนี้ประการแรกคือ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมีความใกล้ชิดกับโครงสร้างรัฐและผู้มีอำนาจ เช่นเรื่องเล่าหนึ่งจากวิทยากรว่า ถ้าอยากเป็นคณบดีต้องรู้จักเงียบเป็นเวลา 5 ปี และถ้าอยากเป็นอธิการบดีต้องเงียบเป็นเวลา 10 ปี เพราะอำนาจรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย และเงินของมหาวิทยาลัยส่วนหนึ่งก็มาจากเงินจัดสรรของรัฐบาล
วาสนาเสริมว่าอาจารย์หลายคนที่กลับมาสอนในคณะ ได้รับทุนเรียนต่อจากรัฐ ทำให้มีภาระผูกพันธ์โดยเฉพาะทางจิตใจ และในอดีตที่อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นข้าราชการ ยังทำให้ “ข้าราชการถูกคาดหวังให้ยืนข้างใดข้างหนึ่งทางการเมือง และทางยืนฝั่งตรงข้ามก็อาจอันตราย”
แต่ในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งอาจารย์ จากข้าราชการสู่ ‘พนักงานในกำกับของรัฐ’ ซึ่งได้สัญญาเป็นระยะ ยังทำให้ประชาคมอาจารย์ไม่กล้ายืนข้างเดียวกัน เพราะการออกมายืนคนละฝั่งกับผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจอาจทำให้เสี่ยงต่ออาชีพตัวเองได้
4.เงินอุดหนุนงานวิจัย งานวิจัยจำเป็นต้องใช้ทุน โดยปกติทุนที่มอบให้งานวิจัยจะได้รับจากองค์กรต่างๆ และถ้าองค์กรเหล่านั้นปรับจำนวนเงินที่มอบให้ลดลง จะส่งผลต่อการผลิตงานวิชาการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงเกี่ยวข้องกับประเด็นในงานวิจัยนั้นๆ ด้วย
5.ลิขสิทธิ์วิทยานิพนธ์ ฉลอมเปิดประเด็นว่ามหาวิทยาลัยไทยเป็นไม่กี่แห่ง ที่ยังคงถือลิขสิทธิ์ของวิทยานิพนธ์ของนิสิตนักศึกษาเอาไว้ ซึ่งแง่หนึ่งทำให้มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของงานชิ้นนั้นมากกว่าผู้ทำวิทยานิพนธ์ และยังเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางวิชาการ
ซึ่งมันขัดแย้งกัน เพราะมหาวิทยาลัยกลับไม่ปกป้องลิขสิทธิ์ทางปัญญาของตัวเอง เช่น ครั้งหนึ่งที่วิทยานิพนธ์ของนิสิต (จุฬาฯ) ถูกแปลมากกว่า 80% ไปเป็นบทความวิจัยนำเสนอในต่างประเทศ หรือครั้งที่วิทยานิพนธ์ถูกนำไปแยกเป็น 4 ตอนแล้วตีพิมพ์ลงในวารสารต่างประเทศ แต่เมื่อมีการยื่นร้องเรียนจากผู้ทำวิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยกลับเก็บเรื่องเอาไว้ ทั้งที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเอง
อีกประเด็นที่น่าสนใจมาจากคำถามของ วาสนาและธงชัยว่า ทำไมงานสัมนาหัวข้อนี้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก และทำไมคนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงถึงเป็นนิสิต ไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรืออาจารย์
“ทำไมคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีงานนี้ต้องเป็นนิสิต และทำไมเราไม่มีเสียงจากประชาคมที่ดังกว่านี้” วาสนาตั้งคำถาม
ฟังเสวนาได้ที่:
https://www.facebook.com/smopolscichula/videos/604300584486381