28 ก.ย.ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยนานาชาติ (International Safe Abortion Day)’ เพื่อส่งเสริมให้สตรีเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย
แต่คุณพอจะทราบหรือไม่ว่า รัฐสภาไทยได้แก้ไขกฎหมายให้สามารถ ‘ทำแท้ง’ ได้โดยไม่มีความผิดมาตั้งแต่เดือน ก.พ.2564 แล้ว !
หากเข้า ‘เงื่อนไข’ บางประการ
เงื่อนไขบางประการที่ว่า อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) หมวดว่าด้วยความผิดฐานทำให้แท้งลูก มาตรา 301 หญิงอายุครรภ์ไม่ถึง 12 สัปดาห์ทำแท้งได้ไม่มีความผิด และมาตรา 305 บุคลากรทางการแพทย์ทำแท้งให้หญิงตั้งครรภ์ได้หากเข้าเงื่อนไข 5 ประการ โดยไม่มีความผิดเช่นกัน
หากคุณไม่รู้มาก่อนว่า การ ‘ทำแท้งถูกกฎหมาย’ มันเริ่มใช้บังคับมาพักใหญ่ๆ แล้ว กระทั่งได้อ่านข้อความในย่อหน้าข้างต้น ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
เพราะขนาดสื่อมวลชนที่ติดตามเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ (เช่น The MATTER) ก็ยังเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่า มันใช้บังคับแล้ว
เช่นเดียวกับบุคลากรทางการแพทย์หรือข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางคน ที่เพิ่งจะรับรู้เร็วๆ นี้ เช่นกัน (บางคนรู้จากปากเราเองด้วยซ้ำ)
ทำไมต้องแก้กฎหมายทำแท้ง
กฎหมายทำแท้งถูกปรับแก้ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2563 ว่า ป.อาญา มาตรา 301 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยยกหลักคิดเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย และความล้าสมัยของ ป.อาญา ความผิดเกี่ยวกับการทำแท้งที่ใช้มานานกว่า 60 ปี พร้อมกับแนะนำให้มีการแก้ไข
รัฐสภาจึงเดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมจนสำเร็จในปี 2564
โดยมีการแก้ไขเนื้อหาใน 2 มาตรา ดังนี้
มาตรา 301 กำหนดให้หญิงที่ทำให้ตนเองแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ว่าง่ายๆ ถ้าอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จะไม่มีความผิดใดๆ)
มาตรา 305 เพิ่มการยกเว้นความผิดแก่บุคลาการทางการแพทย์ผู้ทำแท้ง หากเข้าเงื่อนไข 5 ประการ อาทิ หากตั้งครรภ์ต่อไปหญิงนั้นเสี่ยงจะได้รับอันตรายต่อสุขภาพทั้งทางกายหรือทางใจ, มีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าหากทารกคลอดออกมาจะมีความผิดปกติหรือทุพพลภาพเข้าขั้นร้ายแรง, หญิงยืนยันว่าการตั้งครรภ์เกิดจากความผิดทางเพศ เช่น ถูกข่มขืน, หญิงอายุไม่เกิน 12 สัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ และหญิงอายุครรภ์ระหว่าง 12-20 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ภายหลังเข้าตรวจและขอรับคำปรึกษาทางเลือกแล้ว
หลายคนยังไม่รู้ถึงการบังคับใช้
อย่างไรก็ดี แม้กฎหมายนี้จะประกาศลงในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.2564
แต่คนในสังคมจำนวนมากยังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่
โดยระหว่างที่ The MATTER เก็บข้อมูลเพื่อทำสกู๊ปเกี่ยวกับการทำแท้งตาม ป.อาญาฉบับแก้ไขนี้ ได้พบว่าบุคลากรทางการแพทย์หรือข้าราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายคนก็ไม่ทราบเช่นกันว่า มีการแก้ไขกฎหมายให้สตรีที่ตั้งครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์สามารถเข้าถึงบริการทำแท้งได้โดยไม่มีความผิดทางอาญาใดๆ
แพทย์บางคนแสดงความเป็นห่วง เหมือนที่เคยเป็นวิวาทะสมัยร่างกฎหมายนี้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาว่า อาจทำให้คนมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ป้องกัน
เช่นเดียวกับข้าราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุข ที่ยอมรับว่า เพิ่มรับทราบการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้ง ด้วยการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเอง ไม่ได้รับทราบจากข้อมูลภายในหน่วยงาน
อันชวนตั้งคำถามถึงการสื่อสารเรื่องนี้จากผู้เกี่ยวข้อง
ทัศนคติยังเป็นกำแพงที่สำคัญ
ส่วนหนึ่งของการที่กฎหมายทำแท้งใหม่ยังไม่ถูกรับรู้ในวงกว้าง อาจมาจากทัศนคติที่มองการยุติการตั้งครรภ์ว่าเป็นเรื่องที่บาป ไม่ดี ไม่ควรเปิดเผย หรือไม่ควรถูกพูดถึง
ในหมู่ผู้ให้บริการ หรือ ‘หมอทำแท้ง’ บางคนเองก็ยังถูกทัศนคติเหล่านี้ครอบงำอยู่ ระหว่างการเสวนาเรื่อง ‘Bangkok Abortion – กรุงเทพทำแท้งได้ ปลอดภัย ไม่ตายนะเธอ’ เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2565 มีผู้บรรยายเล่าถึงประสบการณ์ทำแท้งของหญิงรายหนึ่งที่ถูกหมอดูหมิ่น
โดยขณะรับบริการ หมอพูดกับแฟนหนุ่มของผู้รับบริการว่า “ให้ระวังผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี มันร้ายมาก ลูกมันมันยังฆ่าเลย มันบอกว่ารักมันยังฆ่าได้”
ประสบการณ์ตรงของ The MATTER จากการติดต่อขอข้อมูลจากสถานพยาบาลใน กทม. ที่ปรากฎชื่อว่า ให้บริการยุติทางการแพทย์เพื่อยุติการตั้งครรภ์ ก็พบว่าหลายแห่งปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ หลายแห่งยินดีให้ข้อมูลแต่ขอไม่เปิดเผยหน้า หลายแห่งปฏิเสธเลยว่าไม่ได้ให้บริการทางการแพทย์
เร็วๆ นี้ เรามีโอกาสได้ไปดูสถานที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก็พบว่ามีบรรยากาศคล้ายห้องรักษาพยาบาลทั่วๆ ไป ไม่ได้มีบรรยากาศทึมทะมึน ไฟติดๆ ดับๆ เหมือนที่เรามักจะเห็นในภาพยนตร์หรือละคร
แม้กฎหมายจะถูกแก้ไขให้เปิดกว้างขึ้นแล้ว แต่เรื่องการทำแท้งก็น่าจะยังเป็นประเด็นวิวาทะต่อไปในสังคมไทย
ทั้งในเชิงสิทธิเสรีภาพ จรรยาบรรณ วิทยาศาสตร์ สุขภาพ ศีลธรรม ไปจนถึงศาสนา
#Brief #TheMATTER