เหตุกราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู ได้สร้างรอยแผลและความเจ็บปวดให้กับผู้คนมากมายโดยเฉพาะญาติของผู้เสียชีวิต และบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่และพบเห็นเหตุการณ์ แต่ความน่าเศร้าคือ พวกเขากำลังถูกให้รื้อฟื้นความเจ็บปวดเหล่านี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านวัฒนธรรมในระบบราชการ และคำถามที่ไม่จำเป็นจากสื่อมวลชนบางคน บางแห่ง
ประเด็นนี้ถูกพูดถึงจาก นพ.เดชา ปิยะวัฒน์กูล จิตแพทย์ ซึ่งเปิดเผยผ่านรายการ ‘มีเรื่องLive’ ที่ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร
นพ.เดชา เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุได้เกิดปัญหาที่ญาติผู้ที่กำลังเจ็บปวด ถูกการทำงานของสื่อมวลชน และวัฒนธรรมบางอย่างในระบบราชการทำให้พวกเขาถูกย่ำยีหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือที่เรียกว่า Re-traumatization
“โดยปกติเวลามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เราถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เราจะมีทีมสหวิชาชีพลงไปเยียวยา มีหลักวิชาครอบคลุมทุกอย่าง เรารู้ทุกอย่าง แต่เราไม่ทำ เพราะระบบราชการของเรา ผมยกตัวอย่างเช่น จะต้องมีคนเข้าไปทำอะไรบ้าง ต้องมีคนสัมผัสกับเหยื่อ วิชาการหลักมันมีอยู่ว่า เหยื่ออยู่ในระยะไหนของความสูญเสียอันน่าสะเทือนใจนี้ ปฏิกิริยาทางจิตใจจะเป็นอย่างไร ต้องดูแลยังไง”
“ห้ามไปถามซักไซ้ไล่เรียง ห้ามไปทำทุกอย่างเหมือนเพียงเพื่อจะเอาผลงานทางราชการของตัวเอง คุณเป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ไม่ถาม ไปไล่ติ๊ก ว่าลูกตายกี่คน มันก็ยังเกิดแบบเดิม แย่กว่าเดิมด้วย”
ขณะเดียวกัน การ Re-traumatize ยังเกิดขึ้นผ่านการทำงานของสื่อมวลชนบางส่วนที่ตั้งคำถามเพื่อ ‘ขอทราบความรู้สึก’ จากญาติของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ นพ.เดชา ยืนยันว่า เป็นเรื่องไม่ควรทำในสถานการณ์เช่นนี้
“ลักษณะการถามว่า เกิดเหตุตอนกี่โมง ได้ยินเสียงปืน ได้เห็นประกายไฟแลบออกมาไหม ได้เห็นเด็กวิ่งหนีตายออกมาจากโรงเรียนไหม อย่างนี้ถามไม่ได้ มันละเมิดมาก ชัดเจนว่าละเมิด แต่เรา (นักข่าว ) ถาม ตั้งใจจะถามแต่แรกเลยด้วย”
นพ.เดชา ได้พูดถึงกรณีการให้ผู้สูญเสีย ที่ยังอยู่ในภาวะที่จิตใจไม่พร้อมกลับไปเผชิญกับที่เกิดเหตุในช่วงเวลาที่พวกจิตใจพวกเขายังไม่พร้อม ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นจาก หทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการจากสำนักข่าว เดอะอีสานเรคคอร์ด ซึ่งเห็นเหตุการณ์ที่ญาติของเหยื่อต้องเข้าร่วมพิธีการต่างๆ อันมากมายหลังจากเกิดความสูญเสีย
“คุณแม่ร้องไห้จนตัวโยก สะอื้นไห้ปานจะขาดใจ แต่เธอและสามีกลับต้องมาที่เกิดเหตุ ทั้งที่หัวใจแตกสลาย พร้อมกับต้องซักซ้อมขั้นตอนพิธีการมากมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรามีคำถามมากมายกับพิธีการขั้นตอนเหล่านี้ว่า พวกคุณไม่มีหัวใจกันหรือไง” หทัยรัตน์ ระบุผ่านเฟซบุ๊ก
ผลกระทบของเหตุกราดยิงต่อสภาพจิตใจผู้สูญเสีย ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สื่อมวลหลายๆ ประเทศให้ความสำคัญ The New York Times เคยมีรายงานเรื่อง ‘What Gun Violence Does to Our Mental Health’ (ความรุนแรงจากปืนส่งผลต่อสภาพจิตใจพวกเราอย่างไรบ้าง)
สกู๊ปชิ้นนี้อ้างอิงงานวิจัยหลายชิ้น หนึ่งในนั้นพบว่า เด็กๆ ในสหรัฐฯ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ จะมีอัตราการเข้าพบแพทย์เพราะเหตุผลเรื่องสภาพจิตใจของตัวเองมากกว่าเด็กๆ ในพื้นที่อื่น อาการที่เด็กๆ เหล่านั้นมี เช่น anxiety และ panic attacks ตลอดจนความคิดเรื่องความตาย
นอกจากนั้น งานวิจัยหลายๆ ชิ้นยังบอกกับเราว่า เหตุกราดยิงไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้สูญเสียและผู้มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ แต่ยังสามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจของสังคมนั้นๆ โดยรวมได้เช่นกัน
โจทย์หลังจากนี้ของสังคมไทย จึงน่าจะอยู่ที่การช่วยดูแลเยียวยาจิตใจของเหล่าผู้สูญเสียให้เต็มที่ที่สุด และการหยุดการ Re-traumatization สื่อไม่นำเสนอภาพความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่สอบถามความรู้สึกของญาติที่ไม่พร้อม และรายงานข่าวโดยขาดความเข้าอกเข้าใจจิตใจ
ขณะที่ระบบระเบียบทางราชการบางอย่างที่เกินจำเป็น มันอาจจะเป็นสิ่งที่คุ้นชินกันในวัฒนธรรมแบบราชการไทยๆ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นบนเหตุการณ์ความสูญเสียเช่นนี้แล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ควรจะถูกพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยมีจิตใจของผู้สูญเสียเป็นที่ตั้งสำคัญที่สุด
อ้างอิงจาก