‘โอเล็ก ทิงคอฟ’ (Oleg Tinkov) วัย 54 ปี คือนักธุรกิจชาวรัสเซีย ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO ของธนาคารเอกชน ‘ทิงคอฟฟ์’ (Tinkoff Bank) และเป็นมหาเศรษฐีรัสเซียคนแรกๆ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำสงครามในยูเครนของ วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย อย่างเปิดเผย
วันนี้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีอีกหนึ่งคนที่ประกาศสละสัญชาติรัสเซีย เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับสงคราม
“ผมตัดสินใจสละสัญชาติรัสเซียแล้ว ผมไม่สามารถและไม่อยากข้องเกี่ยวกับประเทศเผด็จการ ที่ทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอันสันติ และคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์รายวัน” ทิงคอฟกล่าว และบอกด้วยว่า เขาหวังว่านักธุรกิจคนอื่นๆ จะทำตามเขา เพื่อทำให้เศรษฐกิจรัสเซียอ่อนแอลง และทำให้ปูตินพ่ายแพ้ในที่สุด
“ผมเกลียดรัสเซียของปูติน แต่รักชาวรัสเซียทุกคน ซึ่งก็ชัดเจนว่าไม่เอาสงครามบ้าๆ นี้!” ทิงคอฟระบุเพิ่มเติม
ทิงคอฟ เริ่มต้นเส้นทางนักธุรกิจจากการก่อตั้งเชนขายปลีกเครื่องใช้ในครัวเรือน ‘Technoshock’ และธุรกิจผลิตอาหาร ‘Daria’ ในช่วงหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อปี 1991 ก่อนจะใช้กำไรจากธุรกิจดังกล่าวมาตั้งโรงเบียร์ ‘Tinkoff’ ซึ่งต่อมาจะถูกขายให้กับยักษ์ใหญ่วงการสุรา ‘InBev’ ในราคา 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราวๆ 7.5 พันล้านบาท และในท้ายที่สุด เมื่อปี 2006 ก็หันมาก่อตั้งธนาคารที่ชื่อ ‘Tinkoff Bank’
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังรัสเซียเริ่มส่งกองกำลังรุกรานยูเครนไม่นาน ทิงคอฟก็ร่ายยาวในโพสต์อินสตาแกรม วิพากษ์วิจารณ์ ‘สงครามบ้าๆ’ ของปูติน อย่างรุนแรง การออกมาพูดเช่นนี้ทำให้ CEO ร่วมของธนาคาร ต้องประกาศลาออก ขณะที่ธนาคารเองต้องแสดงออกว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาอีก นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า เขาถูกเครมลินบังคับให้ขายหุ้นที่เหลืออยู่ในธนาคาร
ทิงคอฟไม่ใช่เศรษฐีรัสเซียคนแรกที่ประกาศสละสัญชาติ แต่มีรายงานว่าเป็นคนที่ 4 ต่อจาก นิก สตอรอนสกี (Nik Storonsky) ยูริ มิลเนอร์ (Yuri Milner) และ รูเบน วาร์ดันยาน (Ruben Vardanyan)
อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์ The New York Times ชี้ว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทิงคอฟนั้นสำคัญ เนื่องจากทิงคอฟมักแสดงออกด้วยภาพลักษณ์นายทุนโผงผางซึ่งเป็นที่จับตามองในรัสเซีย ขณะที่ธนาคารทิงคอฟฟ์ ก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่โด่งดังมากที่สุดในประเทศด้วย
อ้างอิงจาก