การเสียชีวิตของวัยรุ่นหญิงหลังถูกจับกุมเพราะไม่ยอมสวมฮิญาบปกคลุมเส้นผมในที่สาธารณะ ปลุกกระแสการประท้วงในอิหร่านในลุกฮือ ผู้หญิงจำนวนมากถอดฮิญาบเพื่อเรียกร้องเสรีภาพของตัวเอง โดยเฉพาะเหล่าคนรุ่นใหม่ และการประท้วงนั้นก็ดำเนินมา 50 วันแล้ว
ย้อนความกันหน่อยว่า มาห์ซา อามีนี (Mahsa Amini) วัย 22 ปี เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เธอรักษาอาการโคม่าอยู่ 3 วันก่อนสิ้นใจ หลังจากถูกตำรวจศีลธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จะคอยตรวจตราและคุมเข้มเกี่ยวกับการแต่งกายของประชาชนจับกุมโดยอ้างว่า เธอไม่ยอมสวมฮิญาบคลุมเส้นผม บางรายงานระบุว่า เธอถูกฟาดเข้าที่ศีรษะด้วยกระบอง
การเสียชีวิตของเธอเป็นชนวนการประท้วงในอิหร่านยาวนานนับ 50 วันแล้ว โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผู้ประท้วงต่างออกมาแสดงความไม่พอใจที่เอบรอฮีม แรอีซี (Ebrahim Raisi)ประธานาธิบดีของอิหร่าน กล่าวว่าเมืองต่างๆ ของอิหร่าน ‘ปลอดภัยดี’ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับโจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะปลดปล่อยอิหร่าน
ขณะที่ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภาครัฐก็เดินหน้าปราบปรามการชุมนุมอย่างหนักในทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งแอมเนสตี้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลว่า ประชาชนอย่างน้อย 10 คน รวมทั้งเด็ก อาจเสียชีวิตจากการปราบปรามนี้
นอกจากนี้ เหล่านักเคลื่อนไหวยังกล่าวว่า กองกำลังความมั่นคงเข้าตรวจค้นนักศึกษาและบังคับให้พวกเขาถอดหน้ากากออก เพื่อหยุดการประท้วงที่มหาวิทยาลัยในเตหะราน แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงผู้ชุมนุมตะโกนกลับไปว่า “ฉันเป็นผู้หญิงที่มีอิสระ คุณน่ะ มันพวกวิปลาส”
การประท้วงนี้เกิดขึ้นในทั่วประเทศ ซึ่งข้อมูลจาก Human Rights Activists News Agency(HRANA) ระบุว่า จนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามไป 298 คน และถูกจับกุมตัวมากกว่า 14,000 คน จากการประท้วงใน 129 เมืองทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน HRANA ก็ระบุว่า เหล่านักเรียนซึ่งเป็นกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวมากที่สุดในการประท้วง เสียชีวิตไปอย่างน้อย 47 คน ระหว่างการประท้วง
การประท้วงใหญ่เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นมานานแล้วในอิหร่าน เนื่องจากผู้คนที่คิดต่างถูกปิดปาก และตกอยู่ในความหวาดกลัวมาตลอด แต่ไซด์ โกลคาร์ (Saied Golkar) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทนเนสซี กล่าวว่า ความกลัวเองก็มีขีดจำกัด เหมือนดั่งความอดทนอดกลั้น
“มันคือจุดเปลี่ยน เมื่อการปราบปรามและความกลัวไม่ได้ผลอีกต่อไป เมื่อผู้คนตระหนักว่าพวกเขามีอำนาจหากอยู่รวมกัน และเมื่อพวกเขากลัวอนาคตที่มืดมนมากกว่าระบอบการปกครอง”
“ฉันมีแค่ชีวิตเดียว และฉันอยากจะใช้ชีวิตนี้อย่างเสรี” ชีเดห์ (Shideh) วัย 17 ปี ให้สัมภาษณ์กับ Reuters
แต่ไม่ใช่แค่เพียงคนรุ่นใหม่เท่านั้นที่ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวในการประท้วงนี้ แม่ของชีเดห์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ลุกขึ้นมาร่วมประท้วงด้วย โดยเธอให้สัมภาษณ์กับ Reuters เธอร้องไห้หนักมากกับการเสียชีวิตของมาห์ซา และความคิดที่ว่า ชีเดห์ ลูกสาวของเธออาจถูกฆ่าตายเหมือนมาห์ซา ยิ่งทรมานจิตใจเธอ
“ในฐานะแม่ ฉันรู้สึกว่า ฉันควรออกไปร่วมสู้บนถนน เพื่อทวงคืนอิหร่านให้กับลูกสาวของฉัน เพื่อทวงคืนอิหร่านให้กับเด็กสาวทุกคน”
อ้างอิงจาก