เป็นไปได้อย่างไรที่คนวัย 28 ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำ และกำลังจะประสบความสำเร็จในชีวิต ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
เรื่องราวที่อาจารย์หมอจากคณะแพทย์ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ แชร์ผ่านเฟซบุ๊ก ชวนให้ใครหลายคนตั้งคำถามว่า คนที่ไม่สูบบุหรี่ แถมอายุแค่นี้ ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ ส่วนหนึ่งเพราะปัญหามลพิษทางอากาศที่เชียงใหม่หรือไม่?
เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เผชิญกับปัญหามลพิษ PM 2.5 มายาวนาน ซึ่งการตั้งคำถามว่าฝุ่นละออง PM 2.5 สัมพันธ์กับโรคมะเร็งปอดหรือไม่ก็คงไม่เกินจริงเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์อังกฤษเพิ่งค้นพบว่า PM 2.5 เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดในหมู่คนที่ไม่สูบบุหรี่
นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันฟรานซิส คริก และมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ได้ทำการศึกษาผู้คนเกือบ 500,000 รายที่อยู่ในอังกฤษ เกาหลีใต้ และไต้หวัน จนค้นพบว่า การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 หรือ ฝุ่นละอองขนาดจิ๋วที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ทำให้ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปอดมากขึ้น
นอกจากนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังศึกษาการกลายพันธุ์ของยีนส์ที่ชื่อว่า ‘EGFR’ ซึ่งปกติปอดเราจะมีการกลายพันธุ์ของยีนส์นี้อยู่นิดหน่อยเป็นทุนเดิม และผลจากการวิจัยพบว่า การหายใจเอา PM 2.5 เข้าไป จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเซลล์ทางเดินหายใจที่มียีนส์กลายพันธุ์ ก็คือ ไปกระตุ้นให้เซลล์ที่มียีนส์นี้แปลงร่างเป็นเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งได้
ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ รศ.พญ.บุษยามาส ชีวสกุลยง หัวหน้าหน่วยมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ เคยให้ข้อมูลไว้ว่า แม้ไม่สูบบุหรี่ แต่หากเราอยู่ในสภาวะที่มี PM 2.5 ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้มากถึง 1-1.4 เท่า
เช่นเดียวกับที่ นพ.วิชิต อาภรณ์วิรัตน์ หมอศูนย์มะเร็ง จาก รพ.พญาไท ให้ข้อมูลไว้ว่า ฝุ่น PM 2.5 จะเพิ่มความเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด โดยอธิบายว่า เมืองที่ประชากรสัมผัสฝุ่นละออง PM 2.5 จะมีความเสี่ยงโรคมะเร็งปอดสูงกว่าประชากรที่ไม่ได้สัมผัสกับฝุ่นละออง PM 2.5
แม้จะยังไม่ปรากฎสาเหตุชัดเจนว่าทำไมอาจารย์แพทย์รายนี้ถึงป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด แต่จะเห็นได้ว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งจากไทยและต่างประเทศพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามลพิษทางอากาศ หรือ PM 2.5 สัมพันธ์กับโรคมะเร็งปอดจริง ซึ่งปัญหานี้ก็ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นเดียวกับปัญหาฝุ่นควันในเชียงใหม่ที่ก็ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ยังไม่เกิดนโยบายการแก้ปัญหาจากภาครัฐอย่างจริงจัง
ดังนั้น คำกล่าวที่บอกว่า ‘เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร หากหายใจในอากาศที่สะอาดยังทำได้ยาก’ คงไม่ผิดไปเสียทีเดียว
ที่ผ่านมา ประชาชนพยายามเรียกร้องให้แก้ปัญหามลพิษทางอากาศในระดับกฎหมายมาแล้ว โดยมีจัดทำร่าง พ.ร.บ.กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ พ.ศ. … (พ.ร.บ.อากาศสะอาด) ตั้งแต่ปี 2563 และรวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 24,000 รายชื่อ ก่อนจะส่งเข้ารัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้คุ้มครองสิทธิที่จะหายใจในอากาศสะอาดของประชาชน
แต่จนถึงตอนนี้ ที่สภาฯ ชุดนี้ใกล้จะครบวาระแล้ว พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก็ยังผลักดันไม่ถึงฝั่งฝันเสียที
อ้างอิงจาก