ผ่านมาแล้ว 3 ปี นับตั้งแต่จีนพบผู้ป่วย COVID-19 กลุ่มแรกๆ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 แต่ในขณะที่ทั่วโลกกำลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมลงเรื่อยๆ รัฐบาลจีนก็ยังคงยึดติดกับแนวทางการควบคุมอย่างเข้มงวด ที่เรียกว่า ‘Zero-COVID’ หรือนโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ มาจนถึงทุกวันนี้
เป็นนโยบายที่สร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนจีนอย่างกว้างขวาง ที่ผ่านมา มีข่าวเด็กเสียชีวิตเพราะถูกกักตัวจนรักษาไม่ทันอยู่บ่อยครั้ง แต่ชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนโกรธแค้นอย่างหนักในครั้งนี้ ก็คือเหตุไฟไหม้ที่อพาร์ตเมนต์ในเมืองอูหลู่มู่ฉี หรืออุรุมชี ที่ผู้พักอาศัยหนีไม่ได้ เพราะติดอยู่ในล็อกดาวน์มามากกว่า 100 วัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย
“สี จิ้นผิง ออกไป!”
“พรรคคอมมิวนิสต์ ออกไป!”
“ต้องการสิทธิมนุษยชน! ต้องการเสรีภาพ!”
“ลุกขึ้นเถิด ผู้ที่ไม่ยอมเป็นทาสใคร!”
ชาวจีนออกมารวมตัวกันในหลายเมืองใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งกรุงปักกิ่ง พลางระบายความคับข้องใจโดยมุ่งเป้าไปที่ผู้นำ บ้างก็ชูกระดาษเปล่าเป็นสัญลักษณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม ในสังคมที่ถูกการเซ็นเซอร์ปิดกั้นหนักหน่วง
ทำไมประชาชนจีนไม่ทนอีกต่อไปแล้ว? The MATTER สรุปการประท้วงระลอกล่าสุดในจีน ชนวนเหตุสำคัญ ปฏิกิริยาของทางการจีน และปฏิกิริยาของทั้งโลก ไว้ดังนี้
1.
ก่อนอื่น ต้องมาดูกันก่อนว่า นโยบาย ‘Zero-COVID’ คืออะไร? ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จีนยึดถือนโยบายควบคุมการระบาดของ COVID-19 อย่างเข้มงวด โดยพยายามจำกัดให้มีจำนวนผู้ป่วยเข้าใกล้ 0 รายให้ได้มากที่สุด เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีมาตรการหลายๆ อย่าง ที่อาจจะเรียกร้องการปฏิบัติตามจากชาวจีนที่มากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น การสั่งให้บังคับใส่หน้ากากเมื่อออกนอกบ้านอย่างเข้มงวด การบังคับตรวจ RT-PCR ซึ่งถ้าผลเป็นบวก ก็จะถูกส่งไปที่ศูนย์กักตัวของรัฐบาลทันที หรือถ้าเมืองไหนพบการแพร่เชื้อ เมืองทั้งเมืองก็จะถูกสั่งล็อกดาวน์ และประชาชนก็ได้แต่อยู่ในบ้าน เช่นเดียวกับที่เมืองเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้านี้ ที่โดนสั่งล็อกดาวน์อยู่นานหลายสัปดาห์
2.
กลายเป็นว่า ‘Zero-COVID’ สร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนอย่างเกินควร เช่น มีรายงานว่า ศูนย์กักตัวของรัฐบาลมีสภาพความเป็นอยู่อย่างย่ำแย่ ไม่มีความเป็นส่วนตัว คนไข้บางส่วนก็นอนหลับไม่ได้เพราะต้องเปิดไฟ 24 ชั่วโมง
เรื่องหนึ่งที่ทำให้ชาวจีนโกรธกันมากก็คือ กรณีที่พ่อของเด็กหญิงอายุ 4 เดือน ไม่สามารถเข้าถึงตัวลูกที่มีอาการอาเจียนและท้องเสียในศูนย์กักตัวที่เมืองเจิ้งโจวได้ จนสุดท้ายลูกเสียชีวิตในวันเดียวกัน ซึ่งนี่ไม่ใช่กรณีแรก แต่เคยมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว
3.
แต่เหตุการณ์ที่เป็นชนวนเหตุ ทำให้อารมณ์โกรธของชาวจีนปะทุขึ้นมาเป็นวงกว้าง ก็คือ เหตุไฟไหม้ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองอูหลู่มู่ฉี หรืออุรุมชี เมืองเอกของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย และบาดเจ็บอีก 9 ราย สาเหตุเกิดจากการสั่งล็อกดาวน์มามากกว่า 100 วัน จนทำให้หน่วยกู้ภัยเข้าถึงเหยื่อเพื่อช่วยเหลือได้ลำบาก
4.
ความโกรธแค้นแปรรูปเป็นการรวมตัวประท้วง เมื่อข่าวไฟไหม้ที่อูหลู่มู่ฉีแพร่ออกไป ชาวจีนก็ออกมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากในเมืองหลักๆ หลายเมือง ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกันกับไว้อาลัยแด่ผู้จากไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว ข้อมูลยืนยันจาก CNN ระบุว่า มีการชุมนุมเกิดขึ้น 23 แห่ง ใน 17 เมือง ซึ่งรวมถึงเมืองหลวงอย่างกรุงปักกิ่ง และเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้ด้วย
ทั้ง 17 เมืองนั้น ประกอบไปด้วย
- เซี่ยงไฮ้ (Shanghai)
- หลานโจว (Lanzhou)
- ปักกิ่ง (Beijing)
- หนานจิง (Nanjing)
- โฮตัน (Hotan)
- ไท่หยวน (Taiyuan)
- กว่างโจว (Guangzhou)
- อู่ฮั่น (Wuhan)
- ซีอาน (Xi’an)
- ฉงชิ่ง (Chongqing)
- อูหลู่มู่ฉี (Urumqi)
- เฉิงตู (Chengdu)
- คู่เอ๋อเล่อ (Korla)
- เทียนจิน (Tianjin)
- หางโจว (Hangzhou)
- ตงก่วน (Dongguan)
- จี่หนาน (Jinan)
โดยที่ประชาชนมุ่งเป้าไปที่ตัวผู้นำ คือ เรียกร้องให้ประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ (Xi Jinping) ลาออกจากตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเลิกยึดติดกับอำนาจ โดยที่การชุมนุมบางส่วนเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดัง อย่าง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยชิงหวา ในกรุงปักกิ่ง เป็นต้น ขณะที่บางส่วนก็ชู ‘กระดาษเปล่า’ เป็นสัญลักษณ์ประท้วง เพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ของจีน
5.
การรวมตัวประท้วงด้วยสเกลที่ใหญ่ขนาดนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่หาดูได้ยากในประเทศจีนภายใต้การปกครองของ สี จิ้นผิง ที่มีการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างหนักผ่านการเซ็นเซอร์ ทำให้การรวมตัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ง่ายนัก การชุมนุมด้วยขนาดเท่านี้เป็นวงกว้าง จึงทำให้สื่อตะวันตกหลายแห่งมองว่าเป็นการชุมนุมที่ ‘ใหญ่ที่สุด’ นับตั้งแต่การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อปี 1989 เลยก็ว่าได้
6.
แต่การรวมตัวก็ไม่ใช่จะไร้อุปสรรค แม้การประท้วงส่วนใหญ่จะยุติหรือสลายไปเอง แต่ก็มีรายงานการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่พบว่ามีการจับกุมประชาชนราว 80-110 คน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (26 พฤศจิกายน) ขณะที่ในวันต่อมา คือ วันอาทิตย์ ก็มีวิดีโอที่เผยให้เห็นตำรวจลาก–ผลัก หรือทุบตีผู้ชุมนุม
นอกจากนี้ ในช่วงวันต่อมา หลังการชุมนุมในช่วงสุดสัปดาห์ ก็มีผู้ชุมนุมบางส่วนเปิดเผยว่า ได้รับการติดต่อมาจากตำรวจ โดยสั่งให้แจ้งข้อมูลที่อยู่อาศัยกับตำรวจ ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่า ตำรวจระบุตัวตนของพวกเขาได้อย่างไร บางส่วนในกรุงปักกิ่งก็ถูกสั่งให้ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ ขณะที่นักศึกษารายหนึ่งถูกสถาบันของเขาสอบสวนว่าได้ไปชุมนุมมาหรือไม่ด้วย
7.
มากไปกว่านั้น ในการชุมนุมที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ยังมีกรณีของการจับกุมนักข่าวต่างประเทศ 2 รายด้วย คือ เอ็ดเวิร์ด ลอว์เรนซ์ (Edward Lawrence) จาก BBC และ มิคาเอล พอยเคอร์ (Michael Peuker) จากช่อง Radio Télévision Suisse (RTS) ในกรณีของลอว์เรนซ์ มีหลักฐานว่าเขาถูกตำรวจถีบและทุบตีเขาด้วย ส่วนพอยเคอร์ ถูกตำรวจยึดอุปกรณ์ ก่อนที่ทั้งสองจะถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา
8.
และแม้ในขณะนี้ การชุมนุมจะบางตาไปบ้างแล้ว แต่คณะกรรมาธิการกลางฝ่ายการเมืองและกฎหมาย (Central Political and Legal Affairs Commission) ของพรรรคคอมมิวนิส์จีน ซึ่งดูแลเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคงในประเทศ ก็เพิ่งออกมาเตือนว่า คณะกรรมาธิการได้สั่งให้ปราบปราม ‘พลังศัตรู’ ที่แสดงออกผ่านการชุมนุมด้วย โดยระบุว่าจะปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทุกกรณี
9.
แต่แม้เผชิญกับการปราบปรามอย่างหนัก แต่การชุมนุมระลอกล่าสุด ก็เป็นที่สนใจของสื่อต่างประเทศจำนวนมาก ไปพร้อมๆ กับมวลชนที่มากันออกมาแสดงพลัง สนับสนุนผู้ประท้วงในจีน ในประเทศต่างๆ อาทิ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย สหรัฐฯ รวมถึงมาเลเซีย
ทางด้านผู้นำประเทศอย่างสหรัฐฯ จอห์น เคอร์บี (John Kirby) โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council) ออกมาเปิดเผยว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) กำลัง ‘มอนิเตอร์’ สถานการณ์ในจีนอยู่ ซึ่งในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นท่าทีที่มีความระมัดระวัง จนถูกบางส่วนวิพากษ์วิจารณ์อยู่เหมือนกัน
แต่สำหรับ ริชี ซูนัค (Rishi Sunak) นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ก็ได้ออกมาประกาศกร้าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ยุคทอง’ ของความสัมพันธ์กับจีน สิ้นสุดลงแล้ว โดยมองว่าจีนเป็น ‘ความท้าทายเชิงระบบ’ ต่อคุณค่าและผลประโยชน์ของสหราชอาณาจักร ในขณะที่จีนมีความเป็นอำนาจนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
10.
แล้วรัฐบาลจีนจะทำอย่างไรต่อไป? จะยกเลิกนโยบาย ‘Zero-COVID’ หรือไม่? คำถามนี้คงหาคำตอบได้ไม่ยากนัก
ปฏิกิริยาหนึ่งที่น่าสนใจ คือปฏิกิริยาของ จ้าว ลี่เจียน (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน หลังจากถูกนักข่าว Reuters ถามว่า จีนคิดจะยกเลิกยนโยบาย ‘Zero-COVID’ หรือไม่ ก่อนที่วิดีโอจะจับภาพเขานิ่งเงียบไปหลายนาที พลางหาอะไรบางอย่างในเอกสาร สุดท้ายเขาขอให้นักข่าวทวนคำถามอีกครั้ง ก่อนจะตอบว่า “จีนยังคงยึดถือนโยบาย ‘Zero-COVID’ อย่างมีพลวัต”
ท่าทีดังกล่าวเป็นสิ่งที่นักรัฐศาตร์ชาวอเมริกัน เอียน เบรมเมอร์ (Ian Bremmer) วิเคราะห์ว่า เป็นการเซ็นเซอร์ตัวเองของ จ้าว ลี่เจียน ก่อนที่จะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเซ็นเซอร์
นั่นก็แปลว่า นโยบาย ‘Zero-COVID’ ยังคงเป็นสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการให้มีอยู่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
และถ้าย้อนไปดูสุนทรพจน์ของ สี จิ้นผิง ในพิธีเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็จะพบว่า นโยบาย ‘Zero-COVID’ เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับการยกย่องอย่างมากจากตัวผู้นำจีน ซึ่งเขาบอกว่า นำมาซึ่ง “ผลลัพธ์ที่เป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ”
อ้างอิงจาก