เมนูใดต่อไปนี้สร้างก๊าซเรือนกระจกและส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนน้อยที่สุด – นี่คือโจทย์ในข้อสอบ TCAS ซึ่งเป็นระบบกลางในการคัดเลือกบุคคลเข้ารับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
ตัวเลือกคำตอบ มีดังนี้
1.ข้าวราดไก่ผัดกระเทียมพริกไทย
2.ราดหน้าหมู
3.สเต็กปลาแซลมอน
4.สุกี้ทะเลรวมมิตร
คำถามนี้มีผู้ใช้โซเชียลหลายคนมาแชร์กันในโลกออนไลน์อย่างล้นหลาม พร้อมระบุว่า คำถามนี้มีความกำกวมและคลุมเครือเกินไป เป็นการถามกว้างๆ ที่คิดคำตอบได้หลากหลาย ดังนั้นแล้ว ข้อสอบนี้จะช่วยวัดอะไรในตัวผู้สอบเข้าได้
ประเด็นนี้ทำให้หลายคนมาร่วมกันแสดงความคิดเห็น รวมถึง ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซประเทศไทย ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า ข้อสอบนี้สะท้อนให้เห็นระบบการศึกษาไทยที่เป็นอยู่ ตั้งแต่การเน้นให้ท่องจำ ไปจนถึงการขาดการคิดวิเคราะห์เชิงระบบ อีกทั้งคำถามของข้อสอบมีความคลุมเครืออย่างยิ่ง
“ความคลุมเครือของคำถามคือ (1) คำว่า “สร้างก๊าซเรือนกระจก” ซึ่งอาจเป็นชนิดของก๊าซเรือนกระจก (ซึ่งไม่ได้มีเพียงแต่คาร์บอนไดออกไซด์อย่างเดียว) ชนิดใดชนิดหนึ่ง/หลายๆ ชนิดก็ได้ หรือพิจารณาในแง่ Carbon Footprint ก็ได้ (2) ความคลุมเครือของคำว่า “ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน…” เพราะก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดมีศักยภาพที่ทำให้เกิดโลกร้อน (Global Warming Potential) ต่างกันไป”
“พอคำถามมีความคลุมเครือ/กำกวม การหาคำตอบว่าข้อไหนถูกจึงเป็นเรื่องที่ไม่แฟร์ต่อผู้ทำข้อสอบ บางคนอาจคิดจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการได้มาซึ่งไก่ หมู ปลาแซลมอนและสัตว์ทะเล (หมึก กุ้ง ฯลฯ) ว่าเลี้ยงแบบอุตสาหกรรมหรือเลี้ยงแบบบ้านๆ บางคนอาจคิดจาก Carbon Footprint ของแต่ละเมนู บางคนอาจคิดไปไกลถึงห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ตั้งแต่ต้นจนจบของแต่ละเมนู”
ขณะที่ สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนและนักแปล ก็พูดถึงข้อสอบนี้ว่า “เป็นคำถามปรนัยที่แย่มากและสะท้อนว่าผู้ออกข้อสอบไม่เข้าใจอย่างแท้จริงเรื่อง carbon footprint เพราะตัวเลือกแต่ละตัวมีตัวแปรมากมายที่ไม่บอกผู้สอบ เช่น เมนูปลาแซลมอนถ้าต้องนำเข้าปลาโดยเครื่องบินจากฟาร์มที่อยู่ไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร ก็อาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าเมนูหมูหรือไก่ (ที่ห่วงโซ่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่น้อยถ้ามองย้อนกลับไปถึงต้นน้ำของวัตถุดิบอาหารสัตว์)”
“สรุปก็คือ เป็นตัวอย่างหัวข้อที่ไม่ควรออกเป็นข้อสอบปรนัยเลย เห็นใจนักเรียนยุคนี้มาก”
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้สอบหลายคนยังแชร์ปัญหาที่พบเจอจากการสอบ เช่น จำนวนข้อสอบไม่สัมพันธ์กับเวลาในการทำ กติการในการตอบข้อสอบพาร์ทหนึ่งที่มีความกำกวม ทำให้ผู้เข้าสอบไม่รู้ว่าในพาร์ทนั้น สามารถเลือกตอบได้กี่ข้อกันแน่
แล้วเวลา 11.30 น. ของวันนี้ (11 ธันวาคม) ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดการสอบ ก็ออกมาแถลงถึงเรื่องนี้ว่า ข้อสอบดังกล่าวได้พัฒนาบนฐานความรู้ของการเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของสังคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมรรถนะการทำงานในอนาคต จึงเป็นเจตนาให้มีการปรับการสอบรูปแบบใหม่ในครั้งนี้
“ความมุ่งหวังประการหนึ่งของการพัฒนาระบบการสอบรูปแบบใหม่ ในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย คือการกระตุ้นให้ผู้เข้าสอบได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะอนาคตและทัศนคติที่ดี โดยกำหนดให้เป็นส่วนใหม่ของการสอบวิชาความถนัดทั่วไป”
อย่างไรก็ดี คนจำนวนมากยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนของ ทปอ. ทำให้ผู้เข้าสอบหลายคนสับสน และยังต้องการทราบด้วยว่า ทปอ.จะให้หลักคิดอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการเลือกคำตอบที่ถูกต้อง ในข้อที่เป็นปัญหาดังกล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กไทยมีปัญหา เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพิ่งมีข่าวเรื่องข้อสอบวิชาความถนัดทั่วไป (GAT) ภาษาอังกฤษที่ใช้ศัพท์เกินระดับที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้เรียน หรือหากย้อนไปในปีก่อนๆ ก็มักมีการแชร์ข้อสอบที่เป็นปัญหากันอยู่เสมอ เช่น จะจัดโต๊ะอาหารให้คุณแม่ที่เกิดวันศุกร์ ควรจัดโต๊ะสีอะไร? เป็นแฟนกันต้องแสดงออกอย่างไรให้ถูกประเพณีไทย? หากเกิดอารมณ์ทางเพศต้องทำอย่างไร?
ครูจุ๊ย-กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ จากคณะก้าวหน้า เคยให้สัมภาษณ์กับ The MATTER เมื่อครั้งที่มีประเด็นว่าข้อสอบภาษาอังกฤษในวิชาความถนัดทั่วไปใช้คำศัพท์เกินระดับผู้เรียนว่า“ข้อสอบยาก ไม่ได้หมายความว่าเป็นข้อสอบที่ดี ข้อสอบที่ดีคือข้อสอบที่วัดประเมินผู้เรียนได้ และสามารถนำข้อมูลจากการวัดประเมินมาใช้ต่อได้”
ข้อสอบที่เราเห็นกันนี้ เป็นเหมือนผลจากปัญหาของระบบการศึกษาไทย และส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อตัวนักเรียน เพราะเมื่อเป้าหมายของการเรียนเป็นไปเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้มีเพื่อการเรียนรู้ ก็จะทำให้ผู้เรียนหลงทาง ซึ่งครูจุ๊ยมองว่า เป้าประสงค์ในการทำระบบวัดประเมินเป็นไปเพื่อพัฒนานักเรียน ดังนั้น การทำข้อสอบไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ได้มีไปเพื่อพัฒนานักเรียนแน่นอน
อ้างอิงจาก