‘พี่มีไอเทมให้ ถ่ายหน้าให้พี่ดูหน่อย’ ‘ก็ได้พี่’
‘แต่ถ้าจะเอาสกินพิเศษ เพื่อนที่โรงเรียนไม่มีแน่ ต้องรูปเต็มตัวนะ เอาป่าว’ ‘เอา’
ใครจะไปรู้ว่าประโยคพูดคุยสั้นๆ นี้ กำลังบอกว่า คุณอาจกำลังถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศออนไลน์อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งมีเด็กไทยกว่า 5 แสนคน ตกเป็นเหยื่อในปีที่ผ่านมา และเกินกว่าครึ่งตัดสินใจไม่บอกใคร
คงต้องยอมรับว่า ช่วงโรคระบาดที่เด็กมีโอกาสใช้เวลาในโลกออนไลน์นานขึ้น ทั้งเรียนและเลนนี่แหละ ที่เพิ่มโอกาสตกเป็นเหยื่อ ตามรายงานของผู้แทนจากศูนย์เพื่อเด็กหาย และถูกฉวยผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NCMEC ถึงได้ตรวจพบสื่อลามกอนาจารเด็กในบ้านเราเพิ่มขึ้น
แล้วเราจะเข้าใจ และป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้ยังไง รวมถึงผู้ปกครองจะเท่าทันบุตรหลานได้อย่างไรบ้าง The MATTER สรุปมาให้ดูคร่าวๆ
*นี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดีแทค Safe Internet ที่ดีแทคร่วมกับกรุงเทพมหานคร และตำรวจไซเบอร์ ออนทัวร์ให้ความรู้เด็กนักเรียนสังกัด กทม.
1. จับไต๋คนตีเนียนยังไง
‘หลอกจะให้เงิน เชิญเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า ท้าให้เปิดกล้อง’ นี่เป็น 4 บทเรียนสำคัญที่ไม่เพียงเน้นย้ำเด็กเล็กเท่านั้น แต่เป็นพฤติกรรมคนร้ายที่ทุกคนพบเจอได้ ในทุกกิจกรรมทางออนไลน์
เชื่อไหมว่าคนร้ายแค่เพียง 1 คน สามารถสร้างความเสียหายให้กับเหยื่อที่เป็นเด็กได้ถึง 1,000 คน โดยที่พวกเข้าจะเริ่มต้นสอดส่องความชอบ (Cyber stalking) อาจจะดูจากสิ่งที่่กดติดตามหรือถูกใจ ก่อนจะเข้าขั้นตอนสำคัญ คือ การตีสนิท (Child Grooming) ที่หลายครั้งก็ใช้เวลาแรมเดือน จนรู้สึกกับคนร้ายเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง
หากพฤติกรรมจบแค่นั้น ก็คงเป็นแค่เพียงการหาเพื่อนทางออนไลน์ แต่หากขยับไปสู่บทสนทนาเรื่องเพศ (Sexting) อย่างชวนส่งรูปส่วนตัว ก็อาจนำไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศภายหลัง และสิ่งมักเลี่ยงไม่ได้ คือระหว่างทางนั้นเหยื่อจะถูกเก็บภาพไว้แล้วบนออนไลน์ ซึ่่งเป็นสิ่งที่กำจัดได้ยากที่สุด
2. ป้องกันด้วย ‘3 ไม่’
– ไม่โชว์
ถ้าหากสามารถตัดต้นทางที่จะนำไปสู่ปัญหาในอนาคตได้ ก็จะเป็นการดีที่สุด เพราะการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่เพียงกับคนแปลกหน้า แต่รวมถึงบุคคลใกล้ชิด ก็สามารถนำภัยอันตรายได้
– ไม่แชะ
ไม่ควรถ่ายภาพ หรือวิดีโอที่มีเนื้อหาทางเพศส่งให้กับบุคคลอื่น
-ไม่แชร์
ไม่เพียงการส่งภาพหรือวิดีโอของตนเอง แต่ทุกคนควรตระหนักถึงความเสี่่ยงของการส่งต่อภาพ หรือข้อความที่เข้าข่ายทั้งหมด อย่างภาพที่เห็นอวัยวะเพศของเด็ก รวมถึงข้อความสองแง่สองง่าม เป็นต้น
3. บทเรียนใหม่ของสังคม
กัญญภัทสิทณี เพชรรัตน์ คุณครูประจำสาระการเรียนรู้เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) รร.คลองทวีวัฒนา เล่าว่า เรื่องความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี มีเนื้อหาบางส่วนที่ระบุในหลักสูตรแกนกลาง แต่อาจไม่มีกรณีตัวอย่างที่ทันกับโลกไซเบอร์จริง คุณครูเลยจำเป็นต้องใช้สื่อออนไลน์อื่นเข้ามาใช้ประกอบ
“อย่างครูเจอภัยไซเบอร์ พวก SMS ส่งมาว่าคุณเป็นผู้โชคดี ก็เอาเรื่องจริงนี่แหละมาสอนหน้าห้อง…ต้องยอมรับว่า เป็นบทเรียนที่ครูก็ต้องเรียนไปพร้อมกับเด็ก อย่างเล่นเกม เด็กๆ ชินกว่าอยู่แล้ว สำคัญคือต้องพยายามเป็นเพื่อนกับเขา ให้เขาสบายใจเล่าเรื่องทั่วไปในชีวิตให้ฟัง ที่บ้านเป็นยังไง กับเพื่อนเป็นยังไง ”
“หลักสูตรแกนกลางเป็นส่วนสำคัญ ที่ต้องอัปเดตให้ทันโลกที่เปลี่ยนไป” เป็นความเห็นสนับสนุนจาก ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่ากรุงเทพฯ ที่ตั้งเป้าหมายให้ความรู้กับนักเรียนสังกัดกทม. อายุ 11-13 ปี จำนวน 50 โรงเรียน เพื่อหวังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก
พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ย้ำว่า เมื่อตกเป็นเหยื่อแล้วอย่าเพิ่งลบประวัติ หรือปิดบัญชี เพราะจำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐาน อีกทั้งไม่ควรอวดอ้างว่าแจ้งตำรวจแล้ว รวมถึงไม่ปกปิดผู้ปกครอง โดยสามารถร้องเรียนมาได้ที่ คลิปหลุดทำไง.com
ประเด็นที่น่าติดตาม คือ ตามกฎหมายบ้านเรานั้น ความผิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว เท่ากับว่าในช่วงของการแสวงหาเหยื่อ ไม่นับว่าเป็นความผิดทางอาญา เช่นนี้แล้วการป้องกันตนเองของเหยื่อจะอุดช่องว่างในระยะยาวได้จริงหรือไม่?