หากยาที่คุณเคยได้รับ กลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก คุณจะทำอย่างไร? เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตามอง เมื่อนับตั้งแต่วันนี้ไป ยาสำหรับป้องกันเอชไอวี จะกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงยากขึ้นกว่าเดิม
ประเด็นนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา เมื่ออนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชะลอการจ่ายงบประมาณในส่วนการบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ออกไป เป็นผลให้ตั้งแต่วันนี้ (10 มกราคม) เป็นต้นไป มูลนิธิ SWING จะงดให้บริการ เพร็พ (PrEP) และเป็ป (PEP) เนื่องจากประกาศของรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ไม่อนุญาตให้หน่วยบริการที่ไม่ใช่โรงพยาบาลจ่ายยา
ประกาศฉบับนี้ จะส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงยาป้องกันเอชไอวี (PreP) ได้ยากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังอาจทำให้คนที่เคยได้รับยาต้านดังกล่าว ต้องหลุดออกจากระบบ และอาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศดีดตัวขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
The MATTER ขออธิบายประเด็นที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพว่า ทำไมการให้จ่ายยาดังกล่าวได้เฉพาะในโรงพยาบาลจึงเป็นปัญหาที่กระทบกับทุกคน
- PrEP, PEP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ?
ก่อนอื่น ขอเริ่มจากการอธิบายให้เข้าใจว่า ยา PrEP คืออะไร ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) หรือเพร็พ เป็นยาป้องกันการติดโรค ‘ก่อน’ สัมผัสเชื้อเอชไอวีเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้
บางคนอาจเข้าใจว่า ยาเพร็พจำกัดให้เฉพาะคู่เกย์ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วยานี้สามารถใช้ได้ทั้งในกลุ่ม ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มพนักงานบริการ (Sex worker) กลุ่มผู้ใช้สารเสพติดแบบฉีด ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี คนที่เปลี่ยนคู่นอน หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ควรได้รับเพร็พเช่นกัน
ผู้ที่จะสามารถรับยาเพร็พได้ จะต้องไปตรวจหาเชื้อเอชไอวี แล้วได้ผลเลือดเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ) เท่านั้น โดยจะต้องเข้าตรวจสุขภาพกับแพทย์ที่ปรึกษาทุกๆ 3 เดือนเพื่อตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวี
นอกจากนี้ ยังมียา PEP (Post Exposure Prophylaxis) หรือเป็ป ยาป้องกัน ‘หลัง’ การสัมผัสเชื้อเอชไอวีสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือคิดว่าอาจได้รับเชื้อเอชไอวี โดยจะต้องเริ่มรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีความเสี่ยง
กลุ่มเสี่ยงคือ คนที่ถูกกระทำชำเราทางเพศ คนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกับคนที่มีผลเลือดบวก หรือไม่รู้สถานะเลือดของคู่นอน รวมถึง คนที่ถุงยางหลุด ถุงยางแตก ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
ส่วนสาเหตุที่หลายคนจำเป็นต้องรับยาเพร็พและยาเป็ป ก็เป็นเพราะ แม้ว่าหลายคนจะป้องกันตัวเองด้วยถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัยแล้ว แต่ก็ในขณะที่กำลังดำเนินกิจกรรมทางเพศอยู่ ก็ใช่ว่าจะสามารถมั่นใจในตัวถุงยางหรือแผ่นยางได้ 100% เพราะในบางครั้ง ถุงยางหรือแผ่นยางก็อาจแตก ลื่น หลุด เสื่อมสภาพ หรืออาจเป็นเหตุสุดวิสัยเลยไม่ได้ใช้ถุงยางหรือแผ่นยางก็ได้
- อยากให้เอดส์=0 แต่ออกนโยบายให้เข้าถึงยาป้องกันยากขึ้น?
ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยุติปัญหาเอดส์ และมันก็ใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จากยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ.2560 – 2573 ระบุว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะยุติการระบาดของเอชไอวีและเอดส์ได้ หากลงทุนเพิ่มกับมาตรการที่มีประสิทธิผลสูงและถูกต้อง
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 บอร์ด สปสช. มีมติให้ ‘องค์กรภาคประชาสังคมที่จัดบริการด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในชุมชน’ ร่วมเป็นสถานบริการสาธารณสุขที่มีหน้าที่รับส่งต่อเฉพาะด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะเพียงหน่วยงานภาครัฐอาจไม่สามารถดำเนินการเชิงรุกได้ จึงจำเป็นต้องดึงภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคประชาชนมาร่วมกันทำงาน โดยมีสภาวิชาชีพทางการแพทย์ร่วมสนับสนุน ซึ่งปัจจุบันองค์ภาคประชาสังคมที่ให้บริการด้านเอดส์ฯ ถึง 16 แห่ง
สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้แทน 16 องค์กรภาคประชาสังคมที่ให้บริการด้านเอชไอวี กล่าวว่า หน่วยบริการนี้ คือหน่วยบริการที่เข้ามาเพื่ออุดช่องว่างบริการที่หน่วยงานภาครัฐยังเข้าไม่ถึง เพราะด้วยเป็นประเด็นมีความซับซ้อน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหน่วยงานภาครัฐทำงานไม่ดี แต่ด้วยวิธีการทำงานที่มีความแตกต่าง ทั้งอยู่ใกล้ชิดในชุมชนที่ทำให้เกิดความไว้วางใจกันซึ่งกันและกัน โดยเรามั่นใจว่าสามารถเข้าถึงและให้บริการกลุ่มเป้าหมายได้แน่นอน
แต่จู่ๆ งบประมาณด้านนี้ก็หายไป!
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชะลอการจ่ายงบประมาณในส่วนการบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ออกไป เพราะมองว่าอาจมีปัญหาในเรื่องของข้อกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
โดยที่ปรึกษาด้านกฎหมายของอนุทินมองว่า งบประมาณในส่วนของกองทุนบัตรทอง ก็ต้องสงวนให้กับประชาชนที่ใช้สิทธิ์บัตรทอง ส่วนคนที่ใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลอื่น เช่น สิทธิ์ข้าราชการ สิทธิ์ประกันสังคม ไม่มีสิทธิ์ใช้งบประมาณจากกองทุนบัตรทองส่วนนี้
ผลของการชะลอการจ่ายงบประมาณ ทำให้งบประมาณสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค งบป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี งบประมาณระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ ของผู้ที่ไม่ได้ใช้สิทธิบัตรทองถูกชะลอไปอย่างไม่มีกำหนด
นั่นหมายความว่า จะมีคนจำนวนมากที่จะหลุดจากการเข้าถึงการรับบริการทางสาธารณสุข แล้วให้ไปรับบริการจากสถานบริการอื่นตามสิทธิที่มีอยู่แทน ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนที่สำคัญในเด็ก การให้ยาป้องกันกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี หรือการเข้าถึงถุงยางฟรี
- ภาคประชาสังคมยกเลิกการแจกยา PrEP แล้วส่งผลกับชีวิตคนยังไงบ้าง?
คิม (นามสมมติ) หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกแจกเพร็พ (PrEP) ให้สัมภาษณ์ว่า การให้คนไปรับสิทธิตามบัตรทองมันยุ่งยากมาก แค่ต้องลางานไปเอาเพร็พ ส่วนตัวยังรู้สึกว่า มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องลางานไปเอาเลย เพราะปกติ การเอายามันก็แค่ไปตรวจเลือด เมื่อผลเป็นลบก็รับยาเองที่คลินิก ทั้งสะดวกและรวดเร็ว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องลางานเพื่อไปรับยา มันไม่ make sense มันเข้าถึงยากแล้วเงื่อนไขเยอะจนเหมือนไม่ได้อยากแจก
“จากประสบการณ์ที่เคยเจอ ก็รู้สึกว่าหมอในโรงพยาบาลไม่ได้เป็นมิตรกับ LGBTQ+ แค่ไปหาหมอแล้วมันขึ้นในระบบว่าได้รับยาเพร็พอยู่ หมอก็ถามแล้ว ว่ารับเพร็พเพราะชอบมั่วเหรอ เรื่องไปรับยานี่ความสบายใจก็เป็นเรื่องสำคัญนะ เพราะเราอยู่ในสังคมที่ไม่ได้กว้างขนาดนั้น”
“ถ้าสมมติว่าตอนนี้ยังอยู่ ม.ปลาย หรือยังไม่มีงานทำ เราก็คงไม่มีโอกาสได้กินเพร็พต่อแล้ว ทั้งค่าเดินทาง ค่ายา ค่าตรวจเลือด (ที่ตอนนี้ต้องเสียค่าตรวจเองแล้ว) แล้วไหนจะเรื่องการถูกเลือกปฏิบัติจากาถานพยาบาลที่ไม่ได้เข้าใจใน LGBTQ+ จริงๆ อีก”
คิมยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แต่ละคนก็มีปัจจัยต่างกันไป ส่วนตัวกินเพร็พเพราะ เวลามีเพศสัมพันธ์ก็กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่น ถุงแตก ถุงรั่ว ซึ่งการกินเพร็พมันช่วยป้องกันได้มาก อีกทั้งการมีเพศสัมพันธ์มันไว้ใจใครไม่ได้ กินไว้ก็เหมือนกับป้องกันตัวเอง เซฟตัวเองดีที่สุด
- เมื่อการเข้าถึงสาธารณสุขของประชาชน ถูกผูกขาด
การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค คือสิทธิเดียวในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนไทย ‘ทุกสิทธิ์’ สามารถเข้าถึงได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ อัตราป่วย และอัตราการตาย และสปสช.เองก็ได้ทำโครงการนี้มาต่อเนื่องกว่า 10 ปีแล้ว
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทั้งที่งบประมาณส่วนนี้ดำเนินการกันมาตั้งแต่ปี 2545 ก็ไม่มีปัญหาอะไร อีกทั้งงบประมาณปี 2566 ที่ สปสช.ขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรก็ได้แจ้งไว้ว่า จะใช้งบประมาณก้อนนี้สำหรับประชาชนทุกสิทธิ ดังนั้น หากสปสช.กังวลเรื่อง ข้อทักท้วงทางกฎหมาย ก็ควรทำให้เกิดความชัดเจน แต่ต้องไม่สร้างผลกระทบต่อประชาชนถึง 13.5 ล้านคนเช่นนี้
การดำเนินการนี้ยังขัดกับหลักยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ ที่ตั้งเป้าลดผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่เกิน 1,000 คนต่อปี และจะขจัดโรคนี้ให้หายไปจากประเทศไทยภายในปี 2030
“บทบาทของกระทรวงสาธารณสุขคือการเสริมสร้างสุขอนามัย การป้องกัน ควบคุมโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน จำเป็นต้องพัฒนาการเข้าถึงและกระจายทรัพยากรให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ไม่ใช่การผูกขาดทรัพยากรที่ทำให้ประชาชนเจ็บป่วยและอ่อนแอลง
จึงขอให้เรียกร้องให้คลินิกและศูนย์สุขภาพภาคประชาสังคมดำเนินการให้บริการยาเพร็พต่อไปได้ โดยมีภาครัฐสนับสนุนงบประมาณ และในฐานะตัวแทน LGBT ขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข คิด วิเคราะห์ และแยกแยะประเด็นนี้อย่างรอบคอบ” ชานันท์ ยอดหงส์ สมาชิกพรรคเพื่อไทยและผู้รับผิดชอบนโยบายด้านอัตลักษณ์และความหลากหลาย กล่าว
นอกจากจ่ายยาเพร็พและยาเป็ป ไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ ยังไม่สามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีฟรีได้อีกเช่นกัน ผู้ที่จะตรวจต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิบัตรทอง และต้องไปตรวจที่สถานพยาบาลรัฐเท่านั้นด้วย ทั้งๆ ที่คนที่มารับบริการที่องค์กรภาคประชาสังคมกว่า 60-70 % ไม่ใช่สิทธิบัตรทอง
สำนักข่าวประชาไทรายงานว่า สถิติการจ่ายยาของภาคประชาสังคมในปี 2565 มีผู้รับยาเพร็พจากมูลนิธิ SWING กว่า 6,600 คนในปี 2565 คลินิกนิรนามกว่า 2,700 คน และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทยกว่า 6,500 คน ทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง โดยกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีผู้บริโภคยาเพร็พมากกว่าที่สุด ผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มลดลงอีกด้วย
“การให้ไปรับบริการที่โรงพยาบาลเท่านั้น เป็นการสร้างปัญหาให้กับการจัดการของโรงพยาบาล รวมถึงสร้างปัญหาในการเข้าถึงยาป้องกันเชื้อ HIV ของประชาชน เนื่องจากโรงพยาบาลให้บริการในเวลาราชการและมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก ทำให้ผู้ต้องการใช้ยาเพร็พใช้เวลานาน หรือต้องหยุดงานเพื่อรอรับยาเพร็พ ทำให้สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ขาดรายได้เพื่อเข้าถึงยา
ต่างจากศูนย์บริการทางการแพทย์ของภาคประชาสังคมที่สามารถจองคิวล่วงหน้าได้ อีกทั้งศูนย์บริการฯ ยังเก็บข้อมูลในรูปแบบนิรนาม จึงทำให้ผู้รับบริการรู้สึกสบายใจและเป็นส่วนตัว ต่างจากการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลที่ต้องใช้บัตรประชาชน เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องส่วนตัวมาก” ชานันท์กล่าว
- หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?
อย่างแรกที่จะเปลี่ยนไปคือสถานที่เข้ารับบริการ
ผู้รับบริการที่มีสิทธิบัตรทองสามารถไปรับยาฟรีได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิของตนเอง หรือที่ 16 หน่วยบริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ส่วนผู้รับบริการประกันสังคมหรือข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ สามารถไปรับยาฟรีได้ที่ 16 หน่วยบริการสาธารณสุขของกรุงเทพฯ
อย่างที่สอง ก็คงหนีไม่พ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่จะมากขึ้น
สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวในช่องยูทูบ testBKK ว่า “ต่อไปคนต้องไปซื้อเพร็พกินเอง ตรวจเอชไอวีก็ต้องจ่ายเอง เรากำลังไปสนับสนุนภาคธุรกิจ รัฐกำลังจะหาผลประโยชน์ตรงนี้โดยการใช้ชีวิตสุขภาพประชาชนเป็นตัวประกัน…และตัวเลขผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะดีดตัวขึ้นอย่างแน่นอน”
ขณะเดียวกัน testBKK ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย, มูลนิธิเพื่อพนักงานบริการ, มูลนิธิเอ็มพลัส, มูลนิธิแคร์แมท, สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี และองค์กรภาคประชาสังคมทั่วประเทศไทย ออกแคมเปญ ‘หยุดรวมการจ่ายยา PrEP,PEP เพื่อป้องกันHIV ไว้ที่รัฐ อนุทินต้องกระจายจุดจ่ายยาให้ประชาสังคม’ โดยระบุถึงความกังวลใจจากทั้งภาคประชาชนและสังคมออนไลน์ไว้ดังนี้
– การให้บริการ: พบว่าการให้การบริการของรัฐใช้เวลาที่นานกว่า ในการรอคิว และขั้นตอนในการเข้ารับบริการก็มีหลายขั้นตอน ในการเข้าใจบริการ อาจจะใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมง หรืออาจจะเป็นครึ่งวัน ทำให้เสียเวลาในการทำงาน หรือลางานเพื่อไปรับยา ต่างจากคลินิกภาคประชาสังคมที่สามารถจองบริการล่วงหน้า และเข้ารับบริการได้อย่างง่ายและรวดเร็ว
– การตีตราและการเลือกปฏิบัติ: ผู้คนก็ยังคงกังวลใจเมื่อเข้าไปรับบริการ จะเจอการบริการ ที่ตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้รับยาว่าเป็นกลุ่มพฤติกรรมเสี่ยง กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งในความเป็นจริง ผู้ที่รับยาเพร็พหรือเป็ป ก็ไม่ได้จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ หรือมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง เพียงรับยาเพื่อป้องกันโอกาสในการรับเชื้อ HIV เท่านั้น
– ข้อมูลส่วนตัว: ในการเข้ารับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐ อาจมีการต้องใช้บัตรประชาชนและข้อมูลส่วนตัวในการรับบริการ ซึ่งผู้ใช้บริการ ก็กังวลในเรื่องการเก็บรักษาข้อมูลของรัฐ ด้วยเช่นกัน
หากต้องการให้ประชาชนมีสุขอนามัยที่ดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง การกระจายทรัพยากรด้านสาธารณสุขก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้คนเข้าถึงการรักษาที่ดีได้ ดังนั้นการยกเลิกแจกยาดังกล่าว จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของเราทุกคน
อ้างอิงจาก