การที่คนรวยออกมาเรียกร้องอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่น คงเป็นเหตุการณ์ที่พวกเราแทบจะไม่คุ้นชินกันเท่าไหร่ แต่ล่าสุด บรรดาคนรวยต้องการให้รัฐบาลเก็บภาษีพวกเขาเพิ่ม เพื่อช่วยเหลือผู้คนหลายพันล้านที่ประสบกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น
การเรียกร้องนี้เกิดขึ้นเมื่อวาน (18 มกราคม) ที่งานประชุมเศรษฐกิจโลก (Davos) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มเศรษฐีและมหาเศรษฐีกว่า 205 คน อาทิ ทายาทของดิสนีย์อย่าง อบิเกล ดิสนีย์ (Abigail Disney) และนักแสดง มาร์ก รัฟฟาโล (Mark Ruffalo) จาก The Hulk ได้เรียกร้องให้ผู้นำระดับโลกใช้นโยบายเก็บภาษีความมั่งคั่งอย่างเร่งด่วนเพื่อลด ‘ความไม่เท่าเทียมกันอย่างสุดโต่ง’ ระหว่างคนรวยและคนจน
“การปกป้องประชาธิปไตยและการสร้างความร่วมมือจำเป็นต้องหาวิธีเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมกับทุกคน มันไม่ใช่ปัญหาที่จะปล่อยให้ลูกหลานของเราแก้ไขได้” ตัวแทนเศรษฐีกล่าว
นอกจากนี้ พวกเขายังเน้นย้ำว่าการเพิกเฉยอาจนำไปสู่ความหายนะเพราะคนจำนวนมากกำลังอดตาย โดยพวกเขากล่าวปิดท้ายว่า “ต้นทุนของการแก้ไขปัญหานี้ถูกกว่าต้นทุนของการไม่ทำอะไรเลย ถึงเวลาแล้วที่เราสมควรทำอะไรสักอย่าง”
อย่างไรก็ดี งานวิจัยจากองค์การเพื่อลดความยากจนทั่วโลกอย่าง Oxfam พบว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ใน 4 ของศตวรรษนี้ที่คนรวยก็ยิ่งรวยขึ้นๆ แต่คนจนก็ยิ่งจนลงๆ ดังนั้น อ็อกแฟมจึงเสนอว่าการเก็บภาษีที่สูงขึ้น 5% จากมหาเศรษฐีทั่วโลกจะสามารถหาเงินได้ถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะช่วยผู้คน 2 พันล้านคนให้รอดพ้นจากความยากจน และเงินที่เหลือยังสามารถใช้เป็นเงินทุนสำหรับการยุติความอดอยากอย่างถาวรอีกด้วย
ทั้งนี้ พบว่าการเก็บภาษีคนรวยในประเทศไทยก็ถือว่าอยู่ในอัตราที่น้อยเหมือนกัน โดยเมื่อปี 2021 ธนาคารโลกได้ออกมาแนะนำให้รัฐบาลไทยจัดเก็บรายได้เพิ่มจาก ”บุคคลที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูง” เพราะการจัดเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดานั้นไม่เพียงพอสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีจากคนรวยน่าจะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลงบประมาณได้”
เข้าไปดูงานงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่: https://www.oxfam.org/en/press-releases/richest-1-bag-nearly-twice-much-wealth-rest-world-put-together-over-past-two-years
อ้างอิงจาก