“AI พัฒนาเร็วมากๆ พูดตามตรง มันก้าวหน้าเร็วกว่าที่เราเคยคาดการณ์ไว้อีก” คือความเห็นของ อาเทอร์ ไซคอฟ (Artur Sychov) ผู้ก่อตั้งบริษัทเมตาเวิร์ส ‘Somnium Space’ ต่อการมาของแชตบอต AI อย่าง ‘ChatGPT’
หลังการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งของพ่อเมื่อ 5 ปีก่อน ไซคอฟก็ตั้งเป้าหมายจะให้มีฟีเจอร์หนึ่งในเมตาเวิร์สของ Somnium Space ชื่อว่า ‘Live Forever’ ซึ่งจะเปิดให้ผู้ใช้บันทึกการเคลื่อนไหวและบทสนทนาไว้เป็นข้อมูล ซึ่งสามารถทำได้เรื่อยๆ จนตาย จากนั้นก็ให้อวาตาร์เลียนแบบ ผลลัพธ์สุดท้ายที่เขาคาดหวังคือ เราจะคุยกับพ่อแม่หรือคนรักที่จากไปได้
โปรเจ็กต์นี้ ไซคอฟให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว VICE ว่า น่าจะใช้เวลา 5 ปี ถึงจะเริ่มปล่อยให้ใช้งานได้ แต่ตอนนี้ พอ AI พัฒนารุดหน้าไปมาก โดยเฉพาะการมาของ ChatGPT ก็ทำให้เขาคิดว่า อาจจะใช้เวลาไม่กี่ปีเพียงเท่านั้น ก่อนที่คนจะคุยกับหุ่นยนต์ VR ได้ในแบบที่จะทำให้คนเชื่อได้ว่าเหมือนคนจริงๆ
ในเมตาเวิร์สของ Somnium Space ก็เริ่มมีผู้ใช้ที่นำ ChatGPT มาประยุกต์ใช้กับ VR ซึ่งไซคอฟบอกว่า จะช่วยทำให้โหมด ‘Live Forever’ ของเขาเป็นจริงได้เร็วขึ้นด้วย ซึ่งการประยุกต์ใช้ AI ในเมตาเวิร์ส จะค่อนข้างง่ายกว่าในโลกความเป็นจริง ตรงที่เมตาเวิร์สจะมีข้อมูลมหาศาลให้ AI พร้อมเรียนรู้ได้ทันที ต่างจากโลกความเป็นจริงที่จะต้องมีขั้นตอนการตีความที่ยุ่งยากกว่า
ลำดับต่อไป ไซคอฟบอกว่า จะต้องมาคิดว่า จะเก็บข้อมูลอย่างไรให้หมด ซึ่งข้อมูลมหาศาลก็จำเป็นต่อการทำให้หุ่นยนต์ AI มีบทสนทนาด้วยความเร็วในแบบที่จะทำให้รู้สึกเป็นธรรมชาติ และนอกจากการคุยกับคนรักที่จากไป การประยุกต์ใช้ AI กับเมตาเวิร์สก็อาจจะช่วยให้ปรับแต่งบุคลิกของหุ่นยนต์ AI ได้มากขึ้น หรือทำให้สามารถสั่งให้หุ่นยนต์ทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว
ไม่แน่ว่าโลกที่ AI สามารถเลียนแบบมนุษย์ จนทำให้เราสามารถคุยกับคนรักที่จากไปก่อนวัยอันควร แบบที่มีการนำเสนอในซีรีส์ ‘Black Mirror’ ตอน ‘Be Right Back’ อาจจะกำลังเป็นจริงในอีกไม่กี่ปีนี้ก็ได้
อ้างอิงจาก