หลังจากที่มีการเผยแพร่ภาพของช้างไพลินเพศเมีย อายุ 71 ปี ที่ต้องแบกนักท่องเที่ยว จนกระดูกสันหลังเสียรูป หลังจากทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมานาน 25 ปี ก็เกิดข้อสงสัยว่าการขี่ช้างทำให้หลังผิดรูปจริงไหม?
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม เอ็ดวิน วิก (Edwin Wiek) ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนสัตว์ป่า (WFFT) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ว่า ไพลินถูกเจ้าของคนก่อนส่งตัวมาที่มูลนิธิเมื่อปี 2006 หลังทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเจ้าของระบุว่าไพลินรู้สึกว่าเธอเชื่องช้าเกินไป และมักบาดเจ็บอยู่เสมอ จนไม่สามารถทำงานได้ดีอีกต่อไป ซึ่งวิกยังเตือนว่าไม่ให้คนขี่ช้างอีกด้วย
ทั้งนี้ วิกยังกล่าวอีกว่า ช้างไม่เหมือนม้าที่เอาไว้ขี่ และม้าก็ยังเป็นสัตว์ที่ไว้เลี้ยง ต่างกับช้างที่เป็นสัตว์ป่าอีกด้วย
ทอม เทย์เลอร์ (Tom Taylor) ผู้อำนวยการโครงการเสริมว่า หลังของช้างไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับน้ำหนักจำนวนมาก แรงกดบนหลังช้างจากนักท่องเที่ยว สามารถสร้างความเสียหายทางกายภาพอย่างถาวร ซึ่งเห็นได้จากกรณีของช้างไพลิน
“เราอาจรู้จักช้างในด้านความแข็งแรงและขนาดตัว แต่ธรรมชาติไม่ได้ออกแบบหลังของพวกมันมาเพื่อรับน้ำหนัก เพราะกระดูกสันหลังมีลักษณะยื่นขึ้นมา การถูกกดทับอย่างต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถทำให้เกิดความเสียหายทางกายภาพอย่างถาวรได้”
หลังจากที่มีข่าวนี้ออกมา ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหลากหลาย มีทั้งคนที่เห็นด้วยกับข้อมูลดังกล่าว ขณะเดียวกันก็มีสัตวแพทย์ที่แสดงความเห็นอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
ประเด็นนี้ สัตวแพทย์หญิงภัคนุช บันสิทธิ์ รองผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพช้างและสัตว์ป่า โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตามประสบการณ์ส่วนตัวไม่เคยได้รับแจ้งจากเจ้าของช้างหรือควาญช้าง ว่าช้างที่ใช้บรรทุกนักท่องเที่ยวในโปรแกรมขี่แบบใส่แหย่ง [ที่สำหรับนั่ง คล้ายตั่งผูกติดบนหลังช้าง] มาเป็นระยะเวลานานหลายปีมีโครงสร้างของกระดูกสันหลังที่เปลี่ยนแปลงไป
“โดยทั่วไป น้ำหนักของแหย่ง (15-25 กิโลกรัม) วัสดุรองหลัง (ประมาณ 50 กิโลกรัม) และนักท่องเที่ยวจำนวน 2 คน (ประมาณ 150 กิโลกรัม) ที่บรรทุกบนหลังช้าง รวมแล้วน้ำหนัก 225 กิโลกรัม หรือประมาณร้อยละ 7.5 ของน้ำหนักตัวช้าง ช้างจึงรับน้ำหนักไม่ถึงร้อยละ 15 ของน้ำหนักตัว”
แต่ภัคนุชก็เคยเจอปัญหาหลังช้างบวมอักเสบ ช้างส่ายหลังเพราะปวดหลัง จากกรณีใช้ช้างบรรทุกนักท่องเที่ยวต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง และในกรณีที่แหย่งไม่พอดีกับหลังช้าง ภัคนุชก็เคยเจอปัญหาแผลที่เกิดจากสายรัดแหย่งบาดที่อก คอ หรือหาง
อย่างไรก็ตาม ปางช้างก็รู้ดีว่าการจัดการที่ไม่ดีเหล่านี้ส่งผลเสียต่อตัวช้าง “แต่คนเลี้ยงช้าง ใช้งานช้าง ไม่ใช่ไม่รักช้าง”
ขณะที่ นายสัตวแพทย์ เกษตร สุเตชะ อาจารย์คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ว่า ตั้งแต่อาจารย์ทำงานมา 25 ปี ยังไม่เคยเจอว่าการขี่ช้างจะทำให้หลังของช้างผิดรูปได้
เมื่อถามว่าช้างแต่ละตัวสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากันไหม อาจารย์ก็บอกว่าไม่เท่ากัน เพราะขึ้นอยู่กับความแข็งแรง และปัจจัยด้านการเติบโตของช้างแต่ละตัว
อาจารย์ยังเสริมอีกว่า ช้างที่ใช้เพื่อการท่องเที่ยวให้คนขี่ เป็นช้างที่ควาญช้างจะต้องสอนตั้งแต่เด็ก และไม่ใช่ช้างทุกตัวที่จะสามารถแบกคนได้ ซึ่งควาญช้างก็จะรู้ได้ตั้งแต่แรก
และเมื่อถามถึงประเด็นว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าช้างสามารถรับน้ำหนักนั้นได้หรือไม่ อาจารย์ก็บอกว่า ถ้าช้างปวดหลังหรือน้ำหนักที่แบกหนักเกินไป ปกติช้างก็จะดื้อเลย ก็เหมือนเวลาไปตลาดแล้วให้ลูกถือของ ถ้ามันหนักเกินไป ลูกก็ไม่ถือ แม้จะตบจะตีบังคับอย่างไรก็ตาม
ทั้งนี้ นายสัตวแพทย์เกษตร ยังเล่าอีกว่า ประเด็นช้างไพลินมีหลังผิดรูป ทางสัตวแพทย์ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้เลย เพราะต้องขออนุญาตเจ้าของมูลนิธิ แต่ถ้าเป็นสัตวแพทย์จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเข้าไป ก็จะสามารถเข้าไปตรวจสอบได้เลย
ถึงอย่างนั้น ก็มีคนที่ตั้งข้อสังเกตว่า แม้การขี่ช้าง (ในบางน้ำหนัก) อาจจะไม่สามารถทำให้หลังช้างผิดรูปได้ แต่ก็มีการกระทำใน ‘รูปแบบอื่นๆ’ ที่อาจทำให้ช้างมีกระดูกผิดรูปได้
ประเด็นเรื่องการใช้งานช้างจนเข้าขั้นทารุณกรรมสัตว์ ก็มีอยู่จริง และเกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศไทย ดังนั้น แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า อาการของช้างไพลินเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ ถึงอย่างนั้น ปัญหาเรื่องการทารุณกรรมช้างก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรตระหนักถึง
อ้างอิงจาก