“ผมรู้สึกเสียโอกาสที่ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกพรรคที่ชอบ และไว้ใจในอุดมการณ์”
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี เพื่อเข้าเยี่ยม ‘วุฒิ’ (นามสมมุติ) พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงงาน วัย 50 ปี ซึ่งถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีมาตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2566 ซึ่งจนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว จึงเป็นที่คาดการณ์ว่า วุฒิจะไม่ได้เดินเข้าคูหาเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
วุฒิถูกสั่งฟ้องในคดี ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์’ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากการโพสต์เฟซบุ๊กจำนวน 12 ข้อความในช่วงปี 2564
อย่างไรก็ดี วุฒิแสดงความเสียใจที่เขาและผู้ต้องขังในคดีการเมืองคนอื่นๆ จะไม่สามารถไปใช้เสียงของตัวเองที่ถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทย ในการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้
พอมาถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนๆ อาจจะยังไม่ทราบหรือลืมนึกไปว่า นักโทษหรือผู้ต้องขังในประเทศไทยไม่ได้รับสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองขั้นพื้นฐานผ่านการเลือกตั้ง และถ้าเราลองสังเกตลึกลงไปอีก เราก็จะเห็นว่า นักการเมืองส่วนใหญ่จะไม่กล่าวถึงคนกลุ่มนี้เลย เพราะอาจเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ฐานคะแนนเสียง
ดังนั้น เรื่องนี้ดูจะเป็นแนวคิดที่พรรคการเมืองไทยยังคงไปไม่ถึง เพราะประเทศอื่นใกล้ๆ เราอย่าง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ล้วนกำหนดให้มีหน่วยเลือกตั้งภายในเรือนจำ ซึ่งนักโทษจะไม่มีการใส่กุญแจมือ หรือตีตรวนในขณะที่ใช้เสียงในการเลือกตั้ง
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศที่นักโทษมีสิทธิในการใช้เสียงของตนเอง เช่น เนปาล อัฟกานิสถาน แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี โดยประเทศเหล่านี้ระบุเหตุผลว่า การอนุญาตให้ผู้ต้องขังใช้สิทธิใช้เสียงในการเลือกตั้ง จะช่วยย้ำเตือนนักการเมืองถึงการมีอยู่ของกลุ่มนี้ และคะแนนเสียงของพวกเขาก็มีความสำคัญเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐของไทยเคยให้เหตุผลว่าทำไมยังให้นักโทษเลือกตั้งไม่ได้ เพราะพวกเขาเกรงว่านักโทษจะไม่มีอิสระในการเลือกตั้งอย่างแท้จริง เพราะอาจจะได้รับแรงกดดันจากผู้คุมหรือผู้มีอิทธิพลภายในราชทัณฑ์ที่อาจจะบังคับให้นักโทษเลือกคนที่ผู้ใหญ่ในเรือนจำต้องการ
แต่ถึงกระนั้น ถ้าการเมืองในประเทศไทยคำนึงถึงหลักการพื้นฐานตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีด้วยนั้น ซึ่งปฏิญญาสากล ข้อ 21 ระบุว่า “ทุกคนมีสิทธิ มีส่วนร่วมในการเลือกรัฐบาลของประเทศตน ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยเลือกผู้แทนที่ผ่านการเลือกตั้งอย่างเสรี เสมอภาค และเป็นความลับ เพื่อให้เจตจำนงพื้นฐานของประชาชนเป็นที่มาของการได้อำนาจรัฐ ผ่านการเลือกตั้ง ตามหลักสากล”
จึงสรุปได้ว่า การให้สิทธิทุกคนย่อมหมายถึงการให้สิทธิแก่นักโทษด้วย ซึ่งการมอบสิทธินี้ให้แก่นักโทษ จะทำให้พวกเขามีกำลังใจ เพราะรู้สึกถึงความเท่าเทียมและมีความหวังว่า จะมีนักการเมืองมาช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันในเรือนจำ หรือแม้แต่จะนำผู้บริสุทธิ์จำนวนมากออกจากเรือนจำด้วย
ทั้งนี้ ถ้าประเทศไทยมีกฎหมายที่ให้นักโทษสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ฐานคะแนนเสียงจากนักโทษ จะมีมากถึงเกือบ 4 แสนคน ซึ่งเป็นคะแนนที่มีความหมายมากพอสมควร โดยเฉพาะกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
“ผมรู้สึกว่าเสียโอกาสที่ไม่ได้ใช้สิทธิใช้เสียงเลือกพรรคที่ชื่นชอบ เลือกพรรคที่ไว้ใจในอุดมการณ์ เพื่อที่จะผลักดันเรื่องแก้ไขกฎหมาย ม.112 ผลักดันให้มีการยุติการดำเนินคดีกับนักโทษการเมือง” วุฒิผู้ต้องขังระหว่างต่อสู้คดี ม.112 กล่าว
อ้างอิงจาก