“ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่”
วันนี้ (12 พฤษภาคม) เวลา 14.00-16.00 น. เวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถูกจัดขึ้น ณ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง (กรุงเทพ 2) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยผู้บริหารพรรค และผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทั่วประเทศ
ภายในงานจะมีการเซอร์ไพรส์แคมเปญเชิงรุกใหม่ ด้วยการถอดรหัสว่า “ทำไมต้อง ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ก่อนจะเดินหน้าประเทศไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น
วันนี้ The MATTER จะมาสรุปปราศรัยครั้งยิ่งใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐให้อ่านกัน
1. เริ่มต้นที่ สกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นปราศรัยเป็นคนแรก ในเวลา 14.50 น. โดยเขากล่าวเปิดการปราศรัยว่า
“วันนี้เราเข้าสู่โค้งสุดท้าย อย่างแรกขอกราบขอบพระคุณประชาชนที่ต้อนรับพลังประชารัฐ และการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะกำหนดทิศทางของประเทศว่าจะไปทางไหน”
นอกจากนี้ เขากล่าวต่อว่า เราทุกคนอยากเห็นประเทศเดินทางไปทิศทางไหน อย่างให้ทุกคนมีสวัสดิการที่ดีและทุกคนในชาติรักกันอย่างกลมเกลียวหรือเปล่า และพวกเราทุกคนคงไม่อยากเห็นความแตกแยก การชุมนุม ในประเทศอีกต่อไปแล้ว ที่ในขณะนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ
ตลอดที่ผ่านมา ประเทศไทยเราติดลมอยู่กับความขัดแย้ง อาทิ มีผู้ชุมนุมเอาสีไปสาดหน้าสถานีตำรวจ หรือนักการเมืองถือหุ้น โดยที่ยอมรับการตรวจสอบไม่ได้ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำอะไรก็ได้ ดังนั้น การเลือกตั้งเป็นการให้เข้ามาบริหารบ้านเมือง ไม่ใช่มาอยู่เหนือกฎหมาย
พร้อมทั้งย้ำเตือนประชาชนทุกคนว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งจึงเป็นคำตอบทางการเมืองในตอนนี้ และยังเป็นวิธีที่ทำให้ประชาชนที่เห็นต่างกันอยู่ร่วมกันได้ แต่ถึงแม้ว่าการก้าวข้ามความขัดแย้งจะเป็นคำตอบของประเทศไทย แต่ถ้าไม่เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดยืนที่เข้มแข็งของพรรคพลังประชารัฐ
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังกล่าวเสริมว่า ประชาชนอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีตัวกลาง พรรคพลังประชารัฐของเรามีลุงป้อมที่ทำให้คนเก่งๆ มาอยู่รวมกันในพรรคได้ เพราะลุงป้อมรับฟังทุกเรื่อง และตัดสินใจทุกเรื่องด้วยความประนีประนอม
ทั้งนี้ ช่วงนี้เราจะได้ยินวาทะกรรมทางกลางเมืองอยู่ตลอดว่า ให้เลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ อย่าง “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” โดยเขากล่าวต่อว่า ทุกเสียงของประชาชน มีความหมาย ดังนั้น จนทำให้ประชาชนเลือกด้วยความเกลียดหรือกลัว ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ควรเอาความขัดแย้งมาหากิน
ท้ายที่สุดแล้ว “ผมขอย้ำว่าวันที่ 14 นี้ ก่อนที่จะเลือกใคร ให้นึกว่าเลือกสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น แต่ถ้ากาพรรคเรา เรายืนยันเลยว่าประชาชนจะได้พรรคการเมืองที่พร้อมจะก้าวข้ามความขัดแย้งและความจนอย่างแท้จริง”
2. ถัดมาไม่นาน วราเทพ รัตนาการ คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นปราศรัยต่อ โดยกล่าวเกี่ยวกับ ‘นโยบายดี ต้องไม่มีวาทกรรม’ โดยเสริมว่า พรรคนี้ไม่มีนายทุน นายใหญ่ ครูใหญ่ แต่ยังมีอีกหลายเวทีที่มีวาทกรรม ที่สร้างความเกลียดชังและการใส่ร้าย ซึ่งพรรคเรามีวาทกรรมเดียวเท่านั้นคือ การก้าวข้ามความขัดแย้ง
เขากล่าวต่อว่า “นโยบายของพลังประชารัฐเป็นนโยบายที่ดี และเราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที (ไม่เหมือนพรรคอื่น) ดังนั้น ทางออกของประเทศไทย ก็คือ ผู้นำที่ดี ซึ่งชื่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”
3. ต่อมา สนธิรัตน์ สนธิจิวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีพร้อมระบุว่า “ข้างหน้าเวทีนี้เป็นเหล่าขุนพลของพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังร่วมกันทำสิ่งที่สำคัญ ด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย ที่จะส่งหัวหน้าพรรคเป็นนายกฯ”
นอกจากนี้ เขากล่าวต่อว่า เหลือเพียงอีกแค่ 2 วันเท่านั้น ก่อนถึงวันที่จะชี้อนาคตของประเทศไทย ซึ่งการเมืองก่อนหน้านี้ล้วนติดอยู่กับวังวนของปัญหาตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง หลายคนกลับบอกว่า “หลังเลือกตั้งน่าจะวุ่นวาย การจัดตั้งรัฐบาลน่าจะไม่ง่าย”
และในช่วงนี้ อารมณ์ของความเกลียดชัง ความแบ่งแยกเริ่มคุกรุ่นขึ้น ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกคนเดียว แต่มีทั้งสื่อและประชาชน ดังนั้น พรรคเรากลัวว่าวังวนเดิมจะกลับมา ดังนั้น เรามาหยุดวงจรนี้ด้วยกันเถอะ
เขากล่าวเพิ่มว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐกำลังเดินหน้าไปสู่จุดที่เป็นตัวแปรทางการเมืองที่สำคัญอีกครั้ง และตอนนี้พรรคพลังประชารัฐไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่กลายเป็นพรรคที่พร้อมสอดรับกับความเป็นไปของบ้านเมือง โดยการผสมคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งทุกคนคงไม่อยากเห็นบ้านเมืองถอยหลังลง และกลับไปสู่ความขัดแย้ง ดังนั้น พรรคเดียวที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งได้ก็คือ พรรคพลังประชารัฐ
ไม่เพียงเท่านี้ เขากล่าวปิดท้ายว่า การเป็นผู้นำของบ้านเมือง ต้องมีประสบการณ์และนำผู้คนได้ ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยพิสูจน์ตัวเองไปแล้วตอนรักษาการแทน โดยลุงป้อมมีความเข้มแข็ง บารมี และประสบการณ์ ดังนั้น ท่านคือคนเดียวที่จะเป็นคนหยุดวังวนประเทศไทยไม่ให้กลับไปที่เดิม
4. ท้ายที่สุด คนที่ถือเป็นพลังสำคัญของพรรค ก็คือ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ขึ้นเวทีปราศรัยพร้อมกับเสียงตบมือและเสียงตะโกนของประชาชนที่พูดพร้อมกันว่า “ลุงป้อม ลุงป้อม ลุงป้อม”
“สวัสดีครับบบบ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันปราศรัยครั้งสุดท้าย ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่รับมาฟังในวันนี้ ซึ่งนโยบายที่เราหาเสียงไว้ เราขอสัญญา ว่าจะทำให้สำเร็จ เพราะผมไม่มีภาระใดๆ ธุรกิจใดๆ แอบแฝง และตลอดระยะ 8 ปีที่ผ่านมา ผมสามารถพูดคุยกับทุกคน โดยไม่มีอคติ เพราะตลอดชีวิตของผมมีหน้าที่ปกป้องประชาชน ตั้งแต่ความั่นคง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
ประวิตร กล่าวต่อว่า “วันนี้เราเห็นแล้วครับว่า ประเทศเรายังมีปัญหา เรื่องความจน ปากท้อง ผมต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยพรรคเราจะมุ่งมั่นเอาชนะปัญหาเหล่านี้ของประชาชนให้ได้ และทุกนโยบายที่ผมรับปากกับประชาชน ผมจะทำทันทีถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรี”
“ถ้าเลือกพรรคเรา ประเทศจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรือง เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน ถ้ามีความสงบแล้ว ความเจริญจะมาเยือนเราทุกคนเอง” ประวิตรกล่าวปิดท้าย
5. ทั้งนี้ ระหว่างการปราศรัย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินไปยังสถานที่ที่จัดเวทีของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อถามถึงจุดยืนเกี่ยวกับนโยบายกัญชาเสรี โดยชูวิทย์กล่าวว่า “ผมมาตัวเปล่า ไม่มีอาวุธ เพียงใช้สิทธิในฐานะประชาชน” หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ได้เจอกัน โดยชูวิทย์ถามประวิตรว่า “ท่านสนับสนุนกัญชาเสรีหรือเปล่าครับ?” ซึ่งประวิตรตอบกลับว่า “ผมสนับสนุนกัญชาในทางการแพทย์อย่างเดียว” ทำให้ชูวิทย์รีบกล่าวว่า “ขอให้ท่านเป็นนายกฯ นะครับ”
อ้างอิงจาก