“อาจจะมี 7-8 อย่างที่นักลงทุนตัดสินใจ ว่าจะลงทุนในประเทศไหน ‘ค่าแรง’ เป็นหนึ่งในนั้นผมยอมรับ แต่เราต้องเลิกให้ขีดความสามารถของประเทศไทย อยู่ที่การกดค่าแรงคนไทยด้วยกัน”
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นไว้ในรายการกรรมข่าวคุยนอกจอ วันนี้ (2 มิถุนายน) ถึงข้อถกเถียงที่ว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำส่งผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตของนักลงทุน ยังยืนย้ำทิศทางนโยบายพรรคที่ต้องการปรับค่าแรงขั้นต่ำเบื้องต้นที่ 450 บาท
สำหรับข้อกังวลของภาคธุรกิจขนาดใหญ่ พิธา ระบุว่า เป็นที่ทราบกันดีว่ามีปัจจัยอื่นอีก ‘ทำธุรกิจง่าย กฎหมายมีน้อย ขอใบอนุญาตน้อย คอรัปชั่นดีขึ้น’ อย่างประเทศเวียดนาม รวมถึงยังมีเงินสนับสนุนการลงทุน อย่างประเทศญี่ปุ่น ที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
พิธา อธิบายต่อว่า การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันไทย ควรขึ้นอยู่กับการมีบุคลากรที่มีความสามารถในการทำงาน มีตลาดภายใน รวมถึงสร้างเขตการค้าเสรี
“เราจะปล่อยเหมือนในอดีตให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย อยู่ที่ค่าแรงถูกอีกต่อไปไม่ได้”
ทั้งมองตามความเป็นจริง หากค่าแรง 450 บาทต่อวัน คนทำงาน 20 วัน รวมแล้วเป็นเงิน 9,000 บาท ทั้งในความเป็นจริงแรงงานทำได้ร้อยกว่านั้นเสียด้วยซ้ำไป
“ไม่ได้บอกว่าให้ขึ้นเว่อร์จนไม่เหมาะสม ดูผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) ก็โตไวกว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” พิธากล่าว
“ถอดหมวกแบบนักเศรษฐศาสตร์ออก พูดแบบคนเท่ากันคุยกัน เวลาอยากให้เพิ่มทักษะอะไร แต่ปากท้องยังชักหน้าไม่ถึงหลัง มันไม่มีกะจิตกะใจจะเพิ่มทักษะอะไรหรอก ผมเลยอยากดูแลให้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในระดับหนึ่ง”
แคนดิเดตนายกฯ ให้ความเห็นว่าเหรียญมีสองด้าน ในขณะที่เพิ่มค่าแรง ก็ต้องทำนโยบายอื่นควบคู่ เช่น ลดค่าไฟฟ้า ดูแลราคาน้ำมัน เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน เพิ่มรายได้ เพิ่มการส่งออก เป็นต้น
“สิ่งที่จะไปทำให้ คือลดต้นทุนอย่างอื่น เรารู้ว่าผู้ประกอบการมีต้นทุนค่าไฟที่แพง ค่าน้ำมันซึ่งต้องช่วยดู แต่ยังไม่รับปาก เพราะน้ำมันดีเซลนี่ค่าขนส่งทั้งนั้น”
ทั้งยังให้ความมั่นใจว่า ศิริกัญญา ตันสกุล ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค จะสามารถดูแลประเด็นทางการคลัง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการเดินหน้านโยบายของประเทศ “มั่นใจ และเชื่อในความรู้ความสามารถที่เขามี”
อ้างอิงจาก
กรรมกรข่าวคุยนอกจอ