“เมื่อสิบปีที่แล้ว การแสดงออกของผม ทำให้ผมตกเป็นเป้าโจมตีจาก นร. ครู สังคมภายนอก เข้ามหาลัยก็ยังเจอบรรยากาศเลือกปฏิบัติ ที่รอดชีวิตโตมาได้ ปัจจัยสำคัญเพราะกำลังใจของเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ครูไม่กี่คน ผู้ใหญ่บางคนที่อาจไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วยหมด แต่มีอารมณ์ขันพอ เห็นเจตนาดี ให้โอกาสเสมอ” ข้อความจากทวิตเตอร์ของ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตจุฬาฯ
เขายังทวีตต่อด้วยว่า แม้จะได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่บางคน “แต่บรรยากาศสังคมรวมๆก็ทำให้เครียด กดดัน พอมาคิดถึงกรณี #หยก และน้องคนอื่นที่สู้ในยุคนี้ต้องเจอ ความรู้สึกภายใน ความกดดันที่เจอคงสาหัสกว่าผมมาก ควรแล้วที่ผมต้องสนับสนุนพวกเขา ผมไม่ควรโตไปเป็นคนแบบตอนนั้นที่เอาแต่เพ่งโทษผม แต่ควรเหมือนผู้ใหญ่จำนวนน้อยที่โอบอุ้มเข้าใจให้โอกาส”
เนติวิทย์ เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยออกมาขับเคลื่อนปัญหาระบบการศึกษาและอำนาจนิยมในโรงเรียน ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน และถูกสังคมโจมตี ตั้งคำถามกับวิธีการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน
หากย้อนไปดูบทสัมภาษณ์ของเนติวิทย์ เมื่อปี 2556 ในรายการเจาะข่าวเด่นสรยุทธ นั่นคือ “ผมเป็นอวัยวะส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีกฎระเบียบข้อบังคับในเรื่องนี้ เลิกไปเลย”
สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ผู้สื่อข่าวชื่อดังถามต่อว่า อีกฝ่ายก็จะตั้งคำถามว่า แล้วระเบียบวินัยจะอยู่ตรงไหน? ซึ่งเนติวิทย์ ตอบไปว่า “เราต้องกำหนดนิยามก่อน ไอระเบียบวินัยนั้น ที่เรากำหนดกันนั้น เป็นระเบียบวินัยที่เคารพในสิทธิมนุษยชนหรือเปล่า เป็นประชาธิปไตย นักเรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางหรือเปล่า มันต้องถามประเด็นนี้ก่อน ก่อนที่จะมาบอกว่า ‘วินัย’ อะไรก็บอกวินัยทั้งนั้น แต่วินัยนั้นเป็นเผด็จการที่ห้ามไม่ให้นักเรียนคิดและตั้งคำถามหรือเปล่า”
ประเด็นนี้ ถูกหยิบกลับมาพูดถึงจากเรื่องของ หยก—ธนลภย์ ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 อายุน้อยที่สุดเพียง 15 ปี ซึ่งระบุว่าถูกโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ‘ไล่ออก’ ซึ่งก่อนหน้านั้น หยกเคยโพสต์ภาพตัวเองในชุดไปรเวทและย้อมผมสีชมพู เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในรั้วโรงเรียน เพราะ “การแต่งกายและทรงผมมันไม่ใช่ตัวชี้วัดผลการเรียนของเรา”
อย่างไรก็ดี แถลงการณ์ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ระบุว่า สาเหตุที่หยกต้องออกจากการเรียน เป็นผลจากดำเนินการมอบตัวไม่ครบถ้วน ภายในเส้นตายวันที่ 10 มิถุนายน 2566 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนต้องยืนยันข้อมูลกับกระทรวงศึกษาธิการ แต่นักเรียนไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว ทำให้ไม่มีฐานข้อมูลในระบบ จึงไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในปีการศึกษา 2566
อย่างไรก็ดี สำนักข่าวบีบีซีไทย รายงานว่า จากการสัมภาษณ์กับ บุ้ง—เนติพร วัย 27 ปี ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง ของหยก เธอเล่าว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม บุ้ง ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และสมาชิกพรรคก้าวไกล ร่วมกันส่งมอบหยกเข้าเรียนตามกระบวนการ และเธอก็เป็นผู้เซ็นเอกสารมอบตัวเข้าเรียน ซึ่งในวันนั้นทางโรงเรียนไม่มีปัญหาอะไรและยินยอมให้มอบตัวเข้าเรียน
แต่ต่อมา วันที่ 9 มิถุนายน “ทางโรงเรียนขู่ว่า ถ้าเอาพ่อแม่ของน้องมาไม่ได้ ก็ไล่ออก ถ้าวันที่ 10 มิถุนายน เอาพ่อแม่หยกมาไม่ได้ จะถูกลบรายชื่อจากโรงเรียนไปเลย”
ส่วนเรื่องการแต่งกายและทรงผมของหยกนั้น ซึ่งแถลงการณ์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ระบุว่า โรงเรียนได้ชี้แจงให้นักเรียนทราบระเบียบแนวปฏิบัติตามคู่มือนักเรียน ที่ผ่านการประชาพิจารณ์โดยภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน และนักเรียนทุกคนได้ปฏิบัติตามระเบียบนี้
“แต่นางสาว ธนลภย์ (สงวนนามสกุล) ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่แต่งกายชุดนักเรียน ทำสีผม การมาเรียนตามเวลา/รายวิชา ตามความพอใจของนักเรียน รวมทั้งขอไม่เข้าร่วมกิจกรรมโฮมรูม กิจกรรมหน้าเสาธง และกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นการไม่ยอมรับกฎระเบียบและไม่เข้าสู่กระบวนการของโรงเรียน”
“โรงเรียนขอเน้นย้ำให้ทราบว่าไม่เคยปฏิเสธการรับนักเรียนเข้าเรียน และได้ให้การดูแลตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ถึงแม้นักเรียน ‘ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการปรับปรุงพฤติกรรม’ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น”
ขณะที่ หยก เคยโพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียนมาตลอดสัปดาห์ และย้อมสีทำผมตามที่ต้องการมา 3 สัปดาห์แล้ว พร้อมเข้าเรียนตามปกติทุกคาบเรียน
“เราคิดว่าการแต่งกายและทรงผมมันไม่ใช่ตัวชี้วัดผลการเรียนของเรา สิ่งที่เป็นปัญหาคือโครงสร้างของการศึกษาไทยมากกว่า เราอยากให้มีเสรีทรงผมและการแต่งกายภายในโรงเรียนทุกโรงเรียน ไม่ใช่แค่โรงเรียนเอกชน เหตุใดเราจึงต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อแลกกับอิสรภาพและสิทธิพื้นฐานในเนื้อตัวร่างกายของเราที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด”
“การปลูกฝังให้เยาวชนเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพต้องเริ่มตั้งแต่ในโรงเรียน”
อ้างอิงจาก