เมื่อวานนี้ (6 กรกฎาคม) หลายๆ คนอาจจะได้เห็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกลโควททวีตของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) เชิญชวนให้เธอมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย โดยระบุว่า “…ประเทศไทยกำลังกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยเต็มใบแล้ว หลังจากที่คุณจำเป็นต้องยกเลิกคอนเสิร์ตไปเมื่อครั้งที่แล้วเนื่องจากการรัฐประหาร คนไทยได้ผ่านการเลือกตั้ง ดังนั้นเราทุกคนหวังว่าจะได้ต้อนรับคุณสู่ประเทศที่สวยงามของเรา!…มานะครับ แล้วผมจะร้องเพลง Lavender Haze ไปกับคุณ!”
หลังจากที่ได้เห็นทวีตดังกล่าวของพิธา สวิฟตี้ (ชื่อแฟนคลับ) ชาวไทยหลายคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าพิธาจะสามารถพาเทย์เลอร์ สวิฟต์มาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทยได้ไหม อีกทั้งหลายๆ คนก็ยังมองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความหวังของชาวแฟนคลับ ที่ในอนาคตจะไม่ต้องบินไปต่างประเทศเพื่อดูคอนเสิร์ตของศิลปินที่ชื่นชอบแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนตั้งคำถามว่าถ้าศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นเทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือศิลปินคนอื่นๆ มาไทย แล้วประเทศไทยได้จะอะไร การที่พิธาทวีตข้อความดังกล่าวนั้นเหมาะสมหรือไม่?
ในวันนี้ (7 กรกฎาคม) เพื่อตอบคำถามดังกล่าว The MATTER จึงอยากจะพาทุกคนไปสำรวจเศรษฐกิจท้องถิ่นในต่างประเทศที่พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น หลังจากที่สวิฟต์ไปจัดคอนเสิร์ตในเมืองนั้นๆ
“ทุกสุดสัปดาห์ เมืองที่เธอไปจัดคอนเสิร์ต จะเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าพักในโรงแรมและจำนวนเงินที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งมีจำนวนหลายล้านดอลลาร์” แคลลี่ ค็อกซ์ (Callie Cox) นักวิเคราะห์การเงินของบริษัทการลงทุน eToro กล่าว
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะข้อมูลจากบริษัทวิจัย QuestionPro ยังระบุอีกว่า เพียงแค่คอนเสิร์ตครั้งนี้ของสวิฟต์ ก็ทำให้แฟนๆ ใช้จ่ายโดยเฉลี่ยมากกว่า 1,300 ดอลลาร์ (ประมาณ 45,000 บาท) รวมค่าตั๋ว การเดินทาง อาหาร และเสื้อผ้า บริษัทก็ประเมินว่าหากแฟนๆ ยังคงใช้จ่ายในอัตรานี้ต่อ คอนเสิร์ตครั้งนี้จะสามารถสร้างการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ราว 4.6 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.6 แสนล้านบาท) ทั่วสหรัฐฯ อีกเช่นกัน
เช่นเดียวกับข้อมูลจากการศึกษาที่จัดทำโดยบริษัท Live Nation เมื่อช่วง 2021 พบว่า ทุกๆ 100 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,500 บาท) ที่แฟนเพลงที่อยู่นอกเมืองใช้ซื้อบัตรคอนเสิร์ต ก็จะนำไปสู่การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มอีก 334 ดอลลาร์ (ประมาณ 11,700 บาท) สำหรับเศรษฐกิจในแต่ละท้องถิ่น
ยังมีข้อมูลระบุอีกว่า ในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา สวิฟตี้จองห้องพักในโรงแรมราคาพรีเมียมราวๆ 24,000 ห้อง เพื่อมารับชมคอนเสิร์ต ‘The Eras Tour’ ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในครั้งนี้
รวมไปถึงในเมืองที่สวิฟต์ไปจัดคอนเสิร์ต ก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าไปแล้วจับจ่ายในพื้นที่มากกว่าปกติ ร้านอาหารในพื้นที่นั้นๆ ก็ทำลายสถิติยอดขายสูงสุด ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่ได้นับรวมถึงค่าใช้จ่ายที่แฟนๆ ได้ทุ่มเงินมหาศาลไปกับการซื้อชุดแต่งตัวไปคอนเสิร์ต
ไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะคอนเสิร์ต 2 ครั้งของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในลาสเวกัส ก็ยังช่วยให้การท่องเที่ยวของเมืองกลับสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อน COVID-19 ในเดือนมีนาคม และเมืองอื่นๆ อย่างแอตแลนตา ชิกาโกและบอสตันก็มีการจองโรงแรมและรายได้ของร้านอาหารก็เพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเป็นเจ้าภาพจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้
“ถ้าเทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นเศรษฐกิจ เธอจะยิ่งใหญ่กว่า 50 ประเทศ ถ้าเธอเป็นบริษัท คะแนนความพึงพอใจและผูกพันของลูกค้าต่อองค์กรของเธอจะทําให้เธอเป็นแบรนด์ที่น่าชื่นชมมากที่สุดเป็นอันดับ 4” แดน ฟลีตวูด (Dan Fleetwood) ประธานจากบริษัทวิจัย QuestionPro ระบุ
ค็อกซ์กล่าวเสริมว่า “เมื่อคุณคิดถึงผู้คนที่เข้าร่วมบียอนเซ่หรือเทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือศิลปินใหญ่คนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้แค่เข้าเมืองนั้นไปเพื่อดูคอนเสิร์ตเท่านั้น แต่พวกเขากำลังเดินจะทางเข้าเมืองด้วยวิธีการบางอย่าง [เช่นแท็กซี่ หรือขนส่งสาธารณะ] ต่อจากนั้น พวกเขาก็จะรับประทานอาหารในเมือง และมักจะอาศัยอยู่ที่เมืองนั้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก QuestionPro และค็อกซ์ ก็ตรงกับมุมมองของ Can Seng Ooi ศาสตราจารย์ด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและมรดกแห่งมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ที่เคยให้สัมภาษณ์กับ TIME ถึงนโยบายของสิงคโปร์ที่ได้รับแรงสนับสนุนและการลงทุนจากภาครัฐเรื่องการเป็นฮับจัดคอนเสิร์ตว่า การให้คนไปเที่ยวสิงคโปร์ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม จะทำให้คนใช้เงินไปกับการท่องเที่ยวไปในตัว “คนที่มีกำลังทรัพย์พอซื้อตั๋วจัดโชว์หรือคอนเสิร์ต ก็จะมีเงินมากพอที่จะท่องเที่ยวในสิงคโปร์ด้วย”
อีกทั้งเอ็ดวิน ตอง (Edwin Tong) สมาชิกรัฐสภาสิงคโปร์ ก็ยังโพสต์โปรโมต The Eras Tour ลงอินสตาแกรมส่วนตัวด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่แค่พิธาเพียงคนเดียวที่ทวีตหาเทย์เลอร์ สวิฟต์เพื่อให้จัดคอนเสิร์ตในประเทศ เพราะจัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกฯ แคนาดา ก็รีพลายใต้ทวีตของเทย์เลอร์ สวิฟต์เช่นกันว่า “เฮ้ นี่ผมเอง ได้ข่าวว่ามีหลายที่ในแคนาดาอยากให้คุณมาจัดคอนเสิร์ต เพราะงั้นอย่าใจร้ายกับหน้าร้อนนี้ (Cruel Summer เพลงของสวิฟต์) เลย หวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้นะ”
อ้างอิงจาก