“อยู่ที่ไทยแต่พูดไทยไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิต วันนี้มาดูกันว่า อะไรที่เรียกว่าอยู่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้เหมือนอยู่ต่างประเทศ” นี่คือคำบรรยายส่วนหนึ่งจากคลิปใน TikTok ของชาวจีนที่รีวิวช่วงเวลาที่อยู่ในประเทศไทย
หลังจากที่คลิปวิดีโอดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ระบุว่านี่คือ ‘มณฑลไท่กั๋ว’ ชัดๆ ซึ่งคำว่ามณฑลไท่กั๋วนี้ เป็นคำที่ใช้ในเชิงเสียดสีว่าประเทศไทยก็ไม่ต่างอะไรจากมณฑลหนึ่งของจีน เนื่องจากมีทุนจีนที่เข้ามาในไทยจำนวนมาก ถึงขนาดที่ว่าในบางพื้นที่ของไทย คนไทยมองไปทางไหนก็เจอแต่ภาษาจีนเต็มไปหมด
ในวันนี้ (27 กรกฎาคม) The MATTER จึงได้รวบรวมเหตุการณ์บางส่วนที่เกิดขึ้นในไทย จนทำให้คนไทยหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า ‘นี่เราอยู่ในประเทศไทย หรือจีนกันแน่นะ?’
1. โรงภาพยนตร์ในไทย แต่ฉายภาพยนตร์ soundtrack ภาษาต่างประเทศพร้อมด้วย ซับจีน
เมื่อวานนี้ (26 กรกฎาคม) แอคเคาท์ของโรงภาพยนตร์ SF ลงโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง ‘Insidious : The Red Door’ ระบบเสียงซาวนด์แทร็ก พร้อมคำบรรยายภาษาจีนในรอบและสาขาที่กำหนด โดยภาษาแรกที่บริษัทใช้ในการโปรโมตลงทวิตเตอร์ก็คือภาษาจีน จนหลายคนออกมาตั้องข้อสังเกตว่าเป็นการเอาใจคนจีนเกินไปหรือไม่
ในขณะเดียวกัน ก็มีผู้งานทวิตเตอร์รายหนึ่งมองปรากฏการณ์นี้ว่าเนื่องจากหนังผีถูกแบนในจีน แล้วคนจีนก็มาอยู่ประเทศไทยจำนวนมาก หากมีการฉายหนังผีด้วยซับจีน ก็อาจดึงดูดลูกค้าชาวจีนได้
2. ร้านอาหารจีนที่มีแต่ภาษาจีน
จากตอนหนึ่งของคลิปใน TikTok ของคนจีนที่รีวิวประเทศไทย ก็ระบุถึงร้านแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ได้แก่ บะหมี่ผัด เกี๊ยวนึ่ง ซึ่งเขายังบอกด้วยว่า “รสชาติไม่เปลี่ยนไปจากที่เคยกินเลย” พร้อมทานกับเครื่องดื่มจากประเทศจีน
ถ้าหากย้อนกลับไปช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเด็นร้านอาหารของคนจีนที่มาเปิดที่ไทยก็เคยถูกหยิบยกมากล่าวถึง หลังจากร้านอาหาร ‘อาม่งหม่าล่า’ ของคนไทยที่เปิดร้านในเยาวราช ระบุว่าอัตลักษณ์ร้านอาหารของคนไทยเชื้อสายจีนที่มีมายาวนานเริ่มกลายเป็นร้านอาหารที่เจ้าของเป็นนายทุนจีนไปมากกว่าครึ่ง โดยอ้างว่าคนจีนสามารถเข้ามาทำธุรกิจในประเทศได้โดยการใช้เพียงแค่ใช้วีซ่าท่องเที่ยว ทั้งยังไม่ต้องแบกรับภาษีอย่างผู้ประกอบการไทยและวัตถุดิบที่ใช้ก็มาจากจีนอีกเช่นกัน
แต่ถ้าอ้างอิงตามกฎหมายแล้ว หากคนจีนไม่ได้รับอนุญาติให้ประกอบธุรกิจจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวก่อนก็จะไม่สามารถเปิดธุรกิจได้
กรณีนี้ สื่อ Brand Inside เคยอธิบายเอาไว้ว่าคนจีนเข้ามาประเทศไทยด้วยวีซ่าท่องเที่ยว โดยจะมี ‘ธุรกิจนอมินี (nominee)’ ให้คนไทยที่อยู่ในไทยเป็นตัวแทนใส่ชื่อจดทะเบียนเป็นเจ้าของธุรกิจแทนนายทุนจีนที่เป็นเจ้าของธุรกิจตัวจริง หรือไม่ก็ใส่ชื่อคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นเกินครึ่ง โดยอาศัยข้อกฎหมายว่าถ้าคนไทยถือหุ้นตั้งแต่ 51% จะถือว่าเป็นบริษัทไทย ทำให้คนไทยถูกแย่งชิงตลาดเพราะนายทุนจีนที่เข้ามามีทุนหนากว่า
อีกทั้งการจัดหาวัตถุดิบอาหารจีนก็มีแหล่งซัพพลายเออร์ที่หาได้ง่ายอยู่แล้วและต้นทุนยังราคาถูกกว่าด้วยเพราะสามารถสั่งเข้ามาได้ปริมาณมากต่อครั้ง ทำให้ราคาในร้านอาหารของคนจีนถูกกว่าคนไทย
3. แอปพลิเคชั่นเดลิเวอร์ลี่จีน
ช่วงหนึ่งของคลิป TikTok ชาวจีนคนดังกล่าวยังระบุอีกว่า เวลาอากาศร้อน เขาจะสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นที่รวบรวมร้านอาหารจีนในไทยไว้มากมาย ทั้งในแอปก็ยังมีภาษาจีนรองรับ และที่สำคัญก็คือแม้แต่พนักงานส่งอาหาร ก็สามารถพูดภาษาจีนได้
สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ ที่พบว่าคนจีนในประเทศไทย นิยมสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่น Feixiang (飞象) หรือ ‘ช้างบิน’ และ Gokoo (悟空) หรือ ‘ซุนหงอคง’ ที่มุ่งเน้นผู้ที่ใช้ภาษาจีนเป็นหลัก และยังสามารถซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าจีนในไทย รวมไปถึงพนักงานที่บริการก็ยังสามารถพูดภาษาจีนได้อีกเช่นกัน
4. ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน
ช่วงที่ผ่านมา ซุปเปอร์มาร์เก็ตจีน กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เริ่มพบมากขึ้น โดยสำนักข่าววมติชนรายงานว่า จากการสำรวจบริเวณบางเขนหลังมหาวิทยาลัยเกริก พบว่ามีการเช่าอาคารพาณิชย์โดยรอบทำธุรกิจ ซึ่งในส่วนของร้านสะดวกซื้อ มี ‘SHENZAU SUPER MARKET-EXPRESS’ ซึ่งนำเข้าจากประเทศจีนมาวางขาย เช่น บะหมี่สำเร็จรูป เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เป็นต้น
“อย่างไรก็ตามจากการสอบถามพนักงานขาย ร้านดังกล่าวเป็นของคนจีน แต่จดทะเบียนขออนุญาตในนามคนไทย ซึ่งลูกค้ามีทั้งคนจีนและคนไทย มาเปิดร้านย่านนี้ เนื่องจากคนจีนอาศัยอยู่จำนวนมาก และใกล้กับมหาวิยาลัยเกริก” มติชนรายงาน
5. อสังหาริมทรัพย์ของคนจีน
ช่วงก่อนเกิด COVID-19 60% ของชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศคือคนจีน แต่ต่อมาเมื่อเกิดการระบาดของ COVID-19 สัดส่วนผู้ซื้อชาวจีนก็ลดลงเหลือ 40%
ตัดภาพกลับมาในปัจจุบัน ข้อมูลศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์พบว่า ต่างชาติที่ซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์คอนโดในไทยมากที่สุดในปี 2565 อันดับแรกคือ คนจีน (49.4% ) และสัญชาติที่ซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์คอนโดในไทยในแง่มูลค่ามากที่สุด ก็ยังได้แก่คนจีน ที่มีมูลค่า 29,038 ล้านบาท (49.0%)
แม้ประเทศไทยจะมีข้อกำหนดว่าชาวต่างชาติมีสิทธิถือครองอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมีเนียมในไทยได้เพียง 49% แต่แนวโน้มที่คนจีนจะหันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่มขึ้น จนบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางแห่ง เลือกพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าชาวจีนมากขึ้น
“ก่อนเกิดโรคระบาด ผู้ซื้อชาวจีนส่วนใหญ่ซื้อบ้านระดับกลางถึงล่างใน กทม. เพื่อการลงทุน เพราะพวกเขาจะทำกำไรได้มากกว่า จากอสังหาฯ ราคาไม่แพงมากนัก แต่สิ่งนั้นเปลี่ยนไปหลังเกิด COVID-19 เพราะชาวจีนส่วนใหญ่เลือกซื้ออะพาร์ตเมนต์หรู เพื่ออาศัยแทน” โอเวน ซู่ นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ชาวจีนในไทยให้สัมภาษณ์กับ BBC ก่อนอธิบายว่า คอนโดฯ หรืออะพาร์ตเมนต์หรู ราคาจะเริ่มต้นที่ราว 10 ล้านบาท
แล้วทำไมคนจีนถึงเลือกที่จะมาอยู่ไทย? ประเด็นนี้ ร่มฉัตร จันทรานุกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนเคยอธิบายไว้ว่า เพราะการเข้ามาอยู่ไทยได้ง่าย ต้นทุนการดำรงชีพไม่สูงทำให้ชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะมาตั้งรกราก หาโอกาสเข้ามาตั้งบริษัททำธุรกิจในไทย จนเกิดธุรกิจผูกขาดของกลุ่มคนจีนในไทย เช่น ทัวร์ 0 เหรียญที่เป็นปัญหาของไทยตั้งแต่ก่อน COVID-19 ระบาด
อย่างไรก็ตามจากกรณีของชาวจีนที่รัวิวประเทศไทยใน TikTok ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ก็ให้ทุกสำนักงานเขตตรวจสอบใบอนุญาตของบริษัทผู้ประกอบการต่างชาติ และให้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ว่าบริษัทดังกล่าวทำถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะบริษัทเหล่านั้นต้องจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ แต่ทาง กทม. มีอำนาจดำเนินการตาม พ.ร.บ.สาธารณสุขและอาหาร เท่านั้น
ทางด้าน ไพทูรย์ งามมุข ผ.อ.เขตห้วยขวาง ก็ระบุว่าเมื่อช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้เร่งรัดดำเนินคดีกลุ่มผู้ประกอบการต่างชาติต่างๆ ที่ไม่มีใบอนุญาตตามกฎหมาย และใช้แรงงานโดยไม่ถูกต้อง พร้อมริบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งภาพรวมสถานการณ์ขณะนี้ก็ดีขึ้น
อีกทั้ง ไพทูรย์ยังระบุด้วยว่า ส่วนใหญ่ที่ตรวจสอบพบคือผู้ที่มายื่นประกอบกิจการต่างชาติจะมาในรูปแบบของบริษัทนอมินี และปัญหาคือชาวต่างชาติไม่ทราบว่ามีขั้นตอนการยื่นประกอบกิจการอย่างไร แต่ไม่ได้มีเจตนาทำผิดกฎหมาย
นอกจากในภาคธุรกิจแล้ว อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายคนต่างพากับคอมเมนต์ว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า ‘มณฑลไท่กั๋ว’ เช่นกันก็คือเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเดินทางไปยังประเทศจีน พบปะ รทว.กระทรวงมหาดไทยของจีน เพื่อนำเงิน 400-500 ล้านบาท ที่ ปปง.ยึดทรัพย์จากธุรกิจจีนเทาในไทย แล้วขายทอดตลาดไปคืนตามคำสั่งของศาล โดยทาง รมว.มหาดไทยจีนก็ระบุว่าไม่เคยมีประเทศไหนให้ความร่วมมือดีขนาดนี้ แถมเอาเงินมาคืนด้วย
อ้างอิงจาก
/lineprintt/status/1683449860408897536?s=20