ในช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญกับการชุมนุมบนท้องถนนแทบจะตลอดเวลา แต่ถ้าเราเอาสถิติออกมาวาง จะพบว่าการชุมนุมแต่ละครั้งมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแตกต่างกันมาก จึงน่าสนใจว่าอะไรทำให้รัฐไทยตัดสินใจสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง?
ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ลงมาศึกษาเรื่องนี้ผ่านงานวิจัย ‘ความรุนแรงทางการเมืองโดยรัฐในสังคมไทย: แบบแผนวิธีคิด และการให้ความชอบธรรม’ และได้นำข้อสรุปงานวิจัยไปบรรยายที่งานเสวนาถอดรหัสความรุนแรงในสังคมไทย รัฐ สื่อ สังคม และระบบกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
The MATTER สรุปประเด็นน่าสนใจจากการบรรยายดังกล่าวมาให้อ่านกัน ด้านล่างนี้
แบบแผนความรุนแรงของรัฐ
ประจักษ์อธิบายว่ารัฐเองก็เช่นเดียวกับผู้ชุมนุม ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรุนแรงตั้งแต่ต้น เพราะมันจะสูญเสียความชอบธรรม โดยมักหาวิธีอื่นๆ ก่อน เช่น วิธีทางการเมือง (ถอนกฎหมายจากสภา, ให้นายกฯ ลาออก, ยุบสภา,..), การเจรจา, เครื่องมือทางกฎหมาย และความรุนแรง โดยเฉพาะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมักหลีกเลี่ยงที่จะใช้ควมรุนแรงมากกว่ารัฐบาลที่มีที่มาจากแหล่งอื่น
ปัจจัยกำหนดความรุนแรงของรัฐ
จากการเก็บข้อมูลในงานวิจัยประจักษ์สรุปว่า รัฐใช้ 2 ปัจจัยหลัก และ 1 ปัจจัยย่อยในการกำหนดมาตรการรับมือกับผุ้ชุมนุม
- ปัจจัยหลักข้อแรก ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ
โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท หนึ่ง ความสัมพันธ์แนบแน่น เช่น รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สอง ความสัมพันธ์ที่พลเรือนควบคุมกองทัพไม่ได้ และกองทัพตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ เช่น รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร, รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลสมชาย วงสวัสดิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จากสถิติที่เก็บข้อมูลมา ช่วงที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการรับมือผู้ชุมนุมที่สุดคือ สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2551-2554) โดยมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง 1,710 ราย เสียชีวิต 101 ราย และถ้าย้อนกลับไปดูในช่วงนั้นจะพบว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์และกองทัพมีข้อตกลงร่วมกันให้ใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมในเวลานั้น และที่ความรุนแรงบานปลายเป็นเพราะมีการใช้กำลังทหารคุมม็อบแทนตำรวจ
“ตำรวจอยู่กับประชาชน สัมพันธ์กับประชาชนตลอด ตำรวจบางคนเล่าให้ฟังว่าถ้าผมใช้ความรุนแรงกับประชาชนกลับบ้านไปตายแน่ ครอบครัวตายแน่ ถูกล้อมโรงพักแน่” ประจักษ์ยกคำให้สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ความมั่นคงรายหนึ่ง “แต่กองทัพเป็นองค์กรที่แยกออกไป มันอยู่โหมดเอาชนะศึก ไม่ใช่โหมดคลี่คลายความขัดแย้ง”
“จะใช้เลื่อนก็ถือเลื่อนเลย ไม่ใช่ตะไบหรือมีดก่อน” เขาเสริมว่าทหารมีแต่มาตรการที่หนัก-หนักขี้น ไม่มีเบาไปหาหนักเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนมา
- ปัจจัยหลักข้อสอง มุมมองของรัฐต่อผู้ชุมนุม
โดยรัฐไทยมีเกณฑ์แบ่งผู้ชุมนุม 2 เกณฑ์ ข้อแรก แบ่งด้วยวิธีการเคลื่อนไหว ใช้สันติวิธีหรือความรุนแรง ข้อสอง ม็อบการเมืองหรือม็อบปากท้อง โดยกรณีม็อบการเมืองยังมีการแบ่งออกเป็นอีก 2 ประเภทคือ ม็อบประท้วงรัฐบาลและม็อบท้าทายปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
“ถ้ามาโดยสันติวิธีจะรับมือด้วยความละมุนละม่อมมากกว่า แต่ถ้ามีประวัติรุนแรงจะเตรียมการเข้มข้น การจัดวางกำลังจะเป็นอีกแบบ” ประจักษ์กล่าวต่อ
“ม็อบไหนที่โจมตีรัฐบาลเท่านั้นไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่ แต่พอมีประเด็นเรื่อง ม.112 หรือพระมหากษัตริย์ การชุมนุมจะได้รับคำสั่ง.. ถ้ามีการแตะต้องเบื้องบนปุ๊บให้จัดการเลยไม่ต้องสนวิธี ให้มันหยุดทันที ไม่ให้บานปลาย” ประจักษ์ยกโควทของผู้ให้สัมภาษณ์
ประจักษ์เสริมจากการสัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมองว่าม็อบที่จัดโดยกลุ่มธรรมศาสตร์เป็นกลุ่มหน่อมแน้มในเชิงวิธีการ อาวุธไม่มี การ์ดไม่มี ปกติจะรับมืออย่างเบามือ แต่เมื่อมีการประกาศ 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ทำให้ฝ่ายความมั่นคงปรับให้ม็อบธรรมศาสตร์และการชุมนุมกลายเป็น A-List ที่ต้องจับตาและวางกำลังเข้มข้นทันที
“ถ้าถามว่าเขาเป็นห่วงภาพลักษณ์ไหม เขาก็เป็นห่วงภาพลักษณ์ แต่ว่าเขาก็ให้น้ำหนักกับการปกป้องสถาบันมากกว่า” ประจักษ์ยกอีกโควทจากเจ้าหน้าที่ระดับล่างขึ้นมาเสริม
อย่างไรก็ดี ภาครัฐเองก็ทบทวนเรื่องความชอบธรรมในการใช้กำลังเช่นเดียวกัน โดยกรณีที่น่าสนใจคือกลุ่มทะลุแก๊ส ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลกับประจักษ์ว่า พวกเขาตระหนักดีว่ากลุ่มทะลุแก๊สแตกต่างจากม็อบธรรมศาสตร์หรือกลุ่มอื่น เพราะกลุ่มทะลุแก๊สส่วนใหญ่เป็นคนจากชนชั้นล่าง เสียงไม่ดัง ไม่ค่อยมีแรงสนับสนุน ทำให้รัฐมีความชอบธรรมในการปราบสูง
“เข้าไปม็อบเยาวชนทั่วไป ไม่รู้ไปปราบเจอเด็กสวนกุหลาบ, เตรียมอุดม, สตรีวิทยา อีกหน่อยพวกนี้อาจเป็นอีลีทและมาเล่นงานคืนก็ได้ แต่ถ้าเขาปราบม็อบทะลุแก๊ส เสียงไม่ดังอยู่แล้ว เป็นกลุ่มเยาวชนที่ขาดโอกาส ขาดแรงสนับสนุนจากสังคม ปราบแล้วไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ” ประจักษ์อ้างคำให้สัมภาษณ์ของหนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง
- ปัจจัยย่อยอีกข้อคือ อารมณ์และทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ
ตำรวจบางคนก็บอกว่าเขาเป็นมนุษยปุถุชน โดนขว้างปาสิ่งของ โดนด่า โดนเด็กเอาก่อน เขาก็เอาคืน ตำรวจจำนวนไม่น้อยก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแพทเทิร์นหลักในการรับมือกับผู้ชุมนุม
การสร้างความชอบธรรม
ด้วยเวลาที่จำกัด ประจักษ์ไม่ได้นำเสอนเนื้อหาส่วนนี้มากนัก แต่บนไสลด์มีข้อความที่ยกตัวอย่างมา เช่น การสร้างความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2553 เช่น การก่อการร้ายหรือทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสีย หรือการชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส เช่น ความวุ่นวาย, นักเลง และก่อความไม่สงบ ใกล้เคียงกับการสร้างความชอบธรรมในการสลายกลุ่มรีเด็ม
ในช่วงท้าย พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เสนอว่า รัฐไทยมีรูปแบบเป็น ‘รัฐราชเสนานุภาพ’ หรือรัฐทหารที่ถูกครอบโดยแนวคิดราชาชาตินิยม มีจุดหมายสูงสุดคือปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้รอดพ้นปลอดภัย เช่นเดียวกับที่ปล่อยให้ “มือที่มองไม่เห็น” เข้ามาแทรกแซงชักใยเบื้องหลังกลไกอำนาจรัฐ
พวงทองเห็นแย้งว่า การใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายของรัฐราชเสนานุภาพ แต่มันเป็นหนึ่งในทางเลือกอันหลากหลายเท่านั้น โดยเฉพาะในปัจจุบัน ที่รัฐราชเสนานุภาพแบบไทยมีเครื่องมือทั้ง ศาล, ปปช. รวมถึงองค์กรอิสระอื่นๆ ที่จะเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองและกดปราบประชาชนจากการต่อต้านอำนาจรัฐ
อ้างอิงจาก:
https://www.facebook.com/waymagazine/videos/6133680293403195/
https://decode.plus/20230815-violent-thai-state/
https://decode.plus/20230816-violent-thai-state/