“ผมเชื่อว่าพวกเรา 500 คนในที่นี้ และประชาชนทุกเฉดสีการเมืองก็ต่างเห็นเหมือนกันว่า วิกฤตระดับต้นๆ ของประเทศคือ วิกฤตการศึกษา”
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายเกี่ยวกับระบบการศึกษาไทย โดยเขายกวิกฤติที่ 1 ขึ้นมาพูดคือ สมรรถนะ หรือ เด็กไทยมีทักษะสู้ต่างชาติไม่ได้ เนื่องจากรายงานการสอบ PISA ของปีที่แล้ว ที่ชี้ว่าทักษะในทุกๆ ด้านของเด็กไทยมีค่าเฉลี่ยต่ำลง
และวิกฤตที่ 2 คือ ความเหลื่อมล้ำ ที่เด็กไทยมีโอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน เพราะรายงานจาก PISA ชี้ว่าเด็กที่มีฐานะทางสังคมมากกว่า จะมีคะแนนสอบมากกว่า นอกจากนี้ เด็กไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีความสุข เพราะมีเด็กจำนวนมากต้องอดอาหาร จนติดเป็นอันดับ 4 ของโลก ไม่เพียงเท่านั้น เด็กเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาอยู่ที่โรงเรียน ซึ่งก็เกี่ยวโยงกับปัญหาสุขภาพจิต
“ถ้านักเรียนยังต้องเรียนท่ามกลางความหวาดกลัว และหิวโหย แล้วพวกเขาจะเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร” พริษฐ์ ระบุ
ถัดมาเขากล่าวถึงประเด็นที่ครูต้องแบกภาระงานหนักเช่นกัน แม้ว่าประเทศเราจะงบประมาณทางการศึกษาเป็นจำนวนมากก็ตาม เท่ากับว่าปัญหาหลักของระบบการศึกษาไทยอยู่ที่ประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากร เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่ารัฐบาลทุ่มเงินกับส่วนนี้ไปมากเท่าไร ก็แก้ปัญหาไม่ได้เสียที
พริษฐ์ ได้แบ่งทางออกวิกฤตการศึกษา เหมือนกับการผ่าตัด ‘หัวใจ 4 ห้อง’ ของงบการศึกษา ซึ่งได้แก่
– บุคลากร
– เงินอุดหนุนนักเรียน
– งบลงทุน
– งบนโยบาย
เขาขยายความส่วนงบนโยบายก่อน เพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลมากที่สุด ซึ่งเขาให้ความเห็นว่ารูปร่างหน้าตาของมันไม่ต่างกับปีก่อนหน้าเลย แตกต่างกันตรงที่โครงการพัฒนาระบบการเรียนรู้แบบดิจิตอลที่ตั้งงบไว้ 600 ล้านบาทเท่านั้นเอง
หลังจากนั้น เขาระบุถึง ‘โครงการที่ไม่ควรมี ..ยังมีต่อ’ คือ โครงการของกระทรวง เช่น การเขียนรายงานผลการดำเนินงานของโครงการต่างๆ ที่กระทรวงจัดตั้งขึ้นจากงบประมาณส่วนนโยบาย ซึ่งถือเป็นภาระงานของครู จนกระทบกับเวลาการสอน
หรือตีเป็นเวลาประมาณ 40% ที่ครูต้องใช้ไปกับภารกิจอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ดังนั้น รัฐบาลควรปรับลดโครงการที่ไม่จำเป็นเพื่อคืนภาษีให้แก่ประชาชนและมอบเวลาการสอนคืนให้แก่ครู
พริษฐ์ยังได้ยกตัวอย่างโครงการที่ไม่จำเป็นอีก เช่น โครงการรวมมิตรความดี ที่มีจุดประสงค์ ให้เด็กโตไปไม่โกง ไม่เสพยา เป็นคนดีของสังคม ซึ่งปีนี้โครงการนี้ได้รับงบถึง 275 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อนๆ เขาเสนอแนะว่า กระทรวงควรให้ครูเป็นผู้นำเรื่องเหล่านี้แทรกเข้าไปในการเรียนการสอนเอง ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีโครงการอบรมครูจากส่วนกลาง ที่เขาเห็นว่าควรกระจายการอบรมจากส่วนกลางไปให้ครู-โรงเรียนโดยตรงแทน
“มันอาจจะถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องหันมาทบทวนพฤติกรรมของผู้ใหญ่อย่างเรากันเอง เพราะเราจะไปคาดหวังให้เด็กต่อต้านทุจริตได้อย่างไร หากเรายังมีโรงเรียนที่ยังรับเงินใต้โต๊ะ และเราจะให้นักเรียนหยุดพฤติกรรมที่ไม่ดี อย่างการบูลลี่ได้อย่างไร หากเรายังไม่ลงโทษครูที่ละเมิดสิทธิ ทำร้ายร่างกายเด็กอย่างจริงจัง…”
เขากล่าวต่อถึง ‘โครงการที่ควรมี ..กลับยังไม่มี’ คือ การจัดทำหลักสูตรการศึกษาฉบับใหม่ฐานสมรรถนะให้สำเร็จ โดยเขาให้ความเห็นว่า “ระบบการศึกษาไทยไม่ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรครั้งใหญ่มานานถึง 20 ปีแล้ว โดยภาควิชาการ ประชาสังคม ก็มีนำร่องไปแล้ว เท่ากับว่าถ้าจะริเริ่มทำนั้นก็จะไม่ยากเกินไป”
ทั้งนี้ พริษฐ์เสนอให้รัฐบาลช่วยลดค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง เช่น เพิ่มทุนเพื่อเด็กยากจนเป็นตั้งแต่ระดับอนุบาล-ม.ปลาย และเพิ่มเงินอุดหนุนค่าอาหารกลางวันให้ครอบคลุมถึง ม.ต้น และการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างหยุดบังคับชุดลูกเสือ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง
อ้างอิงจาก