โค้ชแดนปลาดิบที่บินกลับมาบอกทีมชาติไทยให้กล้าฝันใหญ่อีกครั้ง!
ใครจะคิดว่า ทีมชาติไทยที่มีอันดับฟีฟ่าแรงกิ้งอยู่ที่ 113 จะสามารถเอาชนะคีร์กีซสถานที่อยู่อันดับ 98 ยันเสมอโอมานผู้อยู่อันดับ 74 จนมีลุ้นเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก AFC Asian Cup 2023 แถมทั้งหมดนี้ยังเกิดจากการได้คุมทีมข้างสนามอย่างเป็นทางการเพียง 3 นัดของโค้ชชาวญี่ปุ่นอย่างทาซามาดะ อิชิอิอีกด้วย
สำหรับผู้ที่ติดตามฟุตบอลไทยลีก มาซาทาดะ อิชิอิ (Masatada Ishii) น่าจะเป็นชื่อที่หลายคนคุ้นหูจากความเก่งฉกาจในการพาทีมบุรีรัมย์คว้า 3 แชมป์ 2 ฤดูกาลติด ทั้งในฤดูกาล 2021-2022 และ 2022-2023 แต่กับคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับแวดวงลูกหนังมากนัก อาจเกาหัวสงสัยว่า ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้คือใคร และทำไมเขาจึงกล้าปั้นทีมชาติไทยให้สามารถสู้กับทีมยักษ์ใหญ่ในเอเชียได้อย่างสูสีในเวลาเพียงไม่นาน
ก่อนจะมาอยู่กับทีมชาติไทย ย้อนกลับไปในวันที่ยังเป็นนักเตะ เส้นทางการค้าแข้งของอิชิอิรุ่งเรืองสุดๆ ช่วงปี 1996-1997 ที่คว้าแชมป์ร่วมกับทีมคาชิมา แอนต์เลอร์สได้มากถึง 3 แชมป์ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 31 ปีเพื่อหันมาเอาดีทางงานโค้ช แม้จะมีเวลาเล่นฟุตบอลไม่มาก แต่การเลิกเล่นก็ช่วยให้เขาได้เริ่มต้นอีกหนึ่งเส้นทางอาชีพเร็วกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน
อิชิอิประเดิมการเป็นกุนซือในปี 2002 โดยเขาเลือกจับงานที่ไม่ท้าทายเกินตัวอย่างการคุมทีมเยาวชนให้กับคาชิมา แอนต์เลอร์ส สโมสรที่ครั้งหนึ่งเขาเองมีส่วนร่วมล่าแชมป์ ดูเผินๆ การไต่เต้าของอิชิอิก็แทบจะไม่ต่างกับโค้ชคนอื่นๆ ทว่าความแตกต่างอยู่ตรงที่เขาเลือกทุ่มเวลาให้กับทีมเยาวชนนานถึง 10 ปีเต็ม แทนที่จะรีบย้ายไปเติบโตผ่านการคุมทีมชุดใหญ่ให้กับสโมสรอื่น อิชิอิเรียนรู้ สังเกต และเก็บประสบการณ์กระทั่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของโค้ชชุดใหญ่ในปี 2012 และในปี 2015 ความจงรักภักดีและรู้รายละเอียดเกี่ยวกับทีมอย่างทะลุปรุโปร่งก็ช่วยให้อิชิอิได้รับความไว้วางใจให้คุมทีมชุดใหญ่ของคาชิมา แอนต์เลอร์ส
ราวกับว่า 10 ปีกับทีมเยาวชนของอิชิอิคือภูเขาไฟที่รอวันปะทุ เพราะเพียงปีแรกที่ได้คุมทีมชุดใหญ่เต็มตัว อิชิอิก็พาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยเล็กของประเทศได้ทันที แถมปีถัดมาก็สานต่อความสำเร็จโดยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของญี่ปุ่น เท่านั้นไม่พอ ปี 2017 อิชิอิยังนำทัพคาชิมาคว้าถ้วยจักรพรรดิของประเทศ เท่ากับว่า ภายใน 3 ปี เขาพาทีมได้ครบแล้วทั้ง 3 แชมป์ใหญ่ อีกทั้งตัวเขาเองก็ยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของลีกญี่ปุ่นไปนอนกอดด้วย เป็นความยิ่งใหญ่ในฐานะกุนซือที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝัน
อย่างไรก็ดี เส้นทางการคุมทีมของอิชิอิไม่ได้มีเพียงขาขึ้น หลังคว้าแชมป์ทุกรายการกับคาชิมา แอนต์เลอร์ส อิชิอิก็ล้มเหลวกับทีมอย่างโอมิยะ อาร์ดิจา โดยพลาดท่าทำทีมตกชั้น จึงตัดสินใจรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่ง
การลาออกดูจะเป็นทางเลือกที่เข้าใจได้ แต่ก้าวต่อไปของอิชิอิเรียกได้ว่าช็อคสายตาแฟนบอล เพราะเขาตัดสินใจพักงานขอบสนาม แล้วข้ามไปทำงานเป็นพ่อครัวให้กับโรงอาหารของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง จึงไม่แปลกเลยหากหลายคนจะกล่าวหาว่าเขาบ้าไปแล้ว
2 ปีที่โรงเรียนประถมเหมือนเป็นการเพาะบ่มให้ภูเขาไฟอิชิอิกลับมาปะทุอีกรอบ บทบาทพ่อครัวของอิชิอิสิ้นสุดลงเพราะสายโทรศัพท์ทางไกลจากเจ้าของทีมสมุทรปราการ ซิตี้ สโมสรในไทยลีกที่ต้องการให้พ่อมดลูกหนังกลับมาร่ายมนตร์อีกครั้ง และอิชิอิก็ตอบตกลง
เท่—เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ปีกดาวรุ่งของสมุทรปราการ ซิตี้ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับเมืองทอง ยูไนเต็ด เล่าว่า อิชิอิเข้ามาคุมทีมในปี 2020 พร้อมกับกฎเหล็ก 2 ข้อ นั่นคือ หนึ่ง เมื่อลงแข่ง ต้องหวังชนะเท่านั้น ไม่ว่าคู่แข่งจะเป็นทีมใหญ่แค่ไหนก็ห้ามดูถูกตัวเอง ถ้าคิดว่าจะแพ้ ก็ไม่ควรลงเล่นตั้งแต่แรก ซึ่งกฎเหล็กนี้ก็น่าจะถูกส่งต่อมาถึงทีมชาติไทยชุดปัจจุบันที่กำลังทำศึกอยู่ที่กาตาร์ด้วย
กฎเหล็กข้อ 2 ทุกคนต้องตรงต่อเวลา ถ้านัด 4 โมงเย็น ตอน 4 โมงเย็นก็ต้องแต่งตัวพร้อม ไม่ใช่เพิ่งมาถึง
นอกจากกฎเหล็ก 2 ข้อนี้แล้ว สิ่งที่อิชิอิให้ความสำคัญคือพื้นฐานการจ่ายบอล ถึงสิ่งนี้จะดูเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เป็นการซ้อมที่น่าเบื่อ แต่องค์ประกอบเหล่านี้แหละที่อิชิอิเชื่อว่าจะพาทีมประสบความสำเร็จได้
1 ปีที่สมุทรปราการ อิชิอิพาทีมจบอันดับ 6 ส่งกองหน้าของทีมให้เป็นดาวซัลโวของลีก ตลอดจนกระตุ้นปีกอย่างเจริญศักดิ์จนได้ตำแหน่งผู้เล่นที่แอสซิส (จ่ายให้เพื่อนทำประตู) มากที่สุดในไทย ความสามารถระดับนี้จึงไม่แปลกหากทีมดังอย่างบุรีรัมย์จะดึงตัวอิชิอิไปคุมทัพ และด้วยทรัพยากรที่ถึงพร้อม เงินทุนที่มากพอ อิชิอิจึงร่ายมนตร์ได้แบบที่หลายคนเฝ้ารอ พาทีมคว้าทุกแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน เป็นชัยชนะระดับปรากฏการณ์ที่ทีมอื่นๆ ทำได้เพียงอิจฉา
ปี 2023 อิชิอิ ถูกดันไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้กับทีมชาติไทย เขาถูกคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งโค้ชทีมชาติคนต่อไป แต่กลายเป็นว่า สุดท้าย ทีมชาติเลือกให้โอกาส มาโน่ โพลกิง (Axandré Pölking) กุมบังเหียนแทน ไม่มากก็น้อย มันส่งผลให้อิชิอิลาออกจากตำแหน่งในทีมชาติ บินกลับบ้านเกิด และคงคิดว่าเส้นทางของตัวเองคงไม่มีโอกาสบรรจบกับทีมชาติไทยอีกต่อไปแล้ว
แต่คงเพราะประสบการณ์อันโชกโชน ได้ครบทุกแชมป์ทั้งที่ญี่ปุ่นและไทยจนไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ตัวเอง แถมยังรู้จักนักเตะแกนหลักของทีมชาติไม่น้อยเพราะเคยสร้างนักเตะมาตรฐานสูงให้กับสมุทรปราการ ซิตี้ที่ทุกวันนี้แยกย้ายออกไปอยู่ทีมที่ใหญ่ขึ้น ทั้งยังเคยทำงานร่วมกับเหล่านักเตะชั้นนำที่บุรีรัมย์อีกคับคั่ง ทำให้ช่วงปลายปี 2023 อิชิอิก็ถูกชักชวนให้กลับมาคุมทัพช้างศึกในที่สุด
แม้จะได้รับสัญญาเพียง 3 เดือน แต่อิชิอิก็มุ่งมั่นที่จะทำทีมอย่างดีที่สุด มันคือความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่ของเขาตั้งแต่ก่อนจะบินกลับญี่ปุ่น ดังนั้น เมื่อได้โอกาส เขาก็คงใส่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่านัดแรกในการอุ่นเครื่องกับญี่ปุ่น เขาพาทีมไทยพ่ายยับ 5 ประตูต่อ 0 แฟนบอลเริ่มตั้งคำถามว่าเขาคือคนที่ใช่ที่จะกอบกู้ศรัทธาของแฟนบอลชาวไทยจริงหรือไม่ และยิ่งการเปิดหัวยังเละเทะขนาดนี้ ดีไม่ดี สัญญา 3 เดือนอาจจะจบลงในเวลาเพียงแค่ 3 เดือนโดยไม่มีการต่ออายุ
หลังจบเกมแพ้ญี่ปุ่น อิชิอิเปิดใจว่า “การที่นักเตะได้ลงฟาดแข้งในสนามกีฬาแห่งชาติในวันขึ้นปีใหม่คือประสบการณ์ที่ดีของทีม เราแพ้พวกเขาแบบขาดลอย แต่อย่างที่พูดไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ว่าทีมจะโดนยิงกี่ประตู พวกเราจะไม่ล้มลง มันคือความท้าทายที่ไม่เคยเจอ ผมดูเกมนี้อย่างภาคภูมิใจ เป็นการคุมทีมชาติเกมแรกของผม เห็นทันทีว่า ทีมชาติไทยกับญี่ปุ่นห่างกันแค่ไหน ผมจะนำประสบการณ์ไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป”
และอิชิอิก็ปรับปรุงแก้ไขอย่างที่ให้สัมภาษณ์ นัดแรกของทีมชาติไทยในศึก AFC Asian Cup 2023 อิชิอิให้ลูกทีมเล่นแบบไม่กลัวคีร์กีซสถานตามกฎเหล็กที่เจ้าตัวยึดถือมานาน นี่คือนัดที่ไทยมีโอกาสมากที่สุด และอิชิอิก็เสกโอกาสนั้นให้กลายเป็นชัยชนะได้ด้วยการรับส่งที่ว่องไวและเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ ตลอด 90 นาที ทีมชาติไทยเล่นได้ดี แม้จะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่เรียกได้ว่าดีพอ มีทรง และที่สำคัญคือสามารถเอาชนะทีมที่มีอันดับดีกว่าไปได้ 2-0 เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในรายการนี้ เพราะทีมไทยไม่เคยชนะในนัดแรกของการแข่งขันมาก่อน
เท่านั้นไม่พอ ในนัดที่ 2 ที่ต้องเจอกับโอมาน อิชิอิก็ติวเกมรับกับนักเตะเป็นอย่างดี ไม่เพียงกองหลังที่ตั้งรับ แต่กองกลาง ปีก และกองหน้าต่างก็ช่วยไล่บอลอย่างสุดกำลัง ไล่ตามคู่แข่งจนสุดแบบที่เราไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ สุดท้าย ไทยสามารถยันเสมอโอมานไว้ได้ เพิ่มโอกาสในการเข้ารอบน็อกเอาต์ของรายการนี้ได้แบบที่ไม่มีใครคาดคิด
แน่นอนว่าย่างก้าวของทีมชาติคงไม่สวยหรูราบรื่นแบบนี้เสมอไป คงมีวันที่ผิดพลาดและบรรยากาศไม่เป็นใจ ซึ่งเราในฐานะแฟนบอลก็คงต้องติดตามกันต่อว่า มาซาทาดะ อิชิอิ จะงัดกลวิธีไหนมาคุมทีม แก้เกม และเขาคนนี้จะสามารถพาทีมชาติคว้าแชมป์ได้แบบที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำได้ในระดับสโมสรหรือไม่
อ้างอิงจาก
https://www.pptvhd36.com/sport/news/215228
https://www.prachachat.net/d-life/news-1444840
https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/changsuek/2751950