เป็นครั้งแรกที่เครื่องบินกองทัพสหรัฐฯ C-130s ส่ง ‘แอร์ดรอป’ หรือส่งอาหารทางอากาศให้กับพลเมืองในฉนวนกาซา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา (2 มีนาคม) ตามเวลาท้องถิ่น
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกองบัญชาการกลางของกองทัพสหรัฐฯ (U.S. Central Command) และกองทัพอากาศของประเทศจอร์แดน เพื่อส่งอาหารจำนวน 38,000 มื้อ ตามชายฝั่งของฉนวนกาซา เพื่อช่วยเหลือพลเมืองที่กำลังอดอาหารในขั้นวิกฤต
หลังจากนี้ในอนาคตอันใกล้ คาดว่าจะมีการ ‘แอร์ดรอป’ ส่งอาหารให้ฉนวนกาซาอีกมากกว่า 1 ครั้ง – แต่แค่นี้ก็อาจจะยังไม่เพียงพอในการบรรเทาวิกฤต
“เราเกรงว่า ทุพภิกขภัยเป็นวงกว้างในกาซากำลังจะกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ราเมช ราชสิงห์แฮม (Ramesh Rajasingham) ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงาน สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) กล่าวประโยคดังกล่าว กับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
จากการแบ่งระดับความมั่นคงทางอาหารตามดัชนีชี้วัดที่เรียกว่า IPC ตอนนี้ ประชากรทั้งฉนวนกาซา หรือราว 2.2 ล้านคน กำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารในระดับ ‘วิกฤต’ ขณะที่ OCHA ระบุว่า ราว 576,000 คน กำลังจะเข้าสู่ภาวะทุพภิกขภัย หรือ ‘famine’
ทางด้าน คริสเตียน ลินด์ไมเออร์ (Christian Lindmeier) โฆษกขององค์การอนามัยโลก (WHO) ภายใต้สหประชาชาติ (UN) ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 มีนาคม) ว่า มีรายงานเด็กเสียชีวิตจากการอดอาหารเป็นคนที่ 10 อย่างเป็นทางการในฉนวนกาซา ขณะที่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจสูงมากกว่านี้
ไมเคิล ฟาครี (Michael Fakhri) ผู้รายงานพิเศษ UN ด้านสิทธิอาหาร (UN Special Rapporteur on the Right to Food) ชี้ว่า อิสราเอลกำลังขัดขวางการส่งอาหารและความช่วยเหลืออื่นๆ อย่างจงใจ ซึ่งเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม และอิสราเอลต้องรับผิดชอบ
ขณะที่หลายฝ่าย อาทิ ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศของปาเลสไตน์ด้วย ก็มองว่า การแอร์ดรอปอาหารจำนวน 38,000 มื้อของสหรัฐฯ ยังคงไม่เพียงพอ และสหรัฐฯ จะต้องใช้แรงกดดันมากกว่านี้ เพื่อกดดันให้อิสราเอลยอมเปิดช่องทางการช่วยเหลือสู่ฉนวนกาซา
เช่นเดียวกับ แพทริก วินทัวร์ (Patrick Wintour) บรรณาธิการด้านการทูตของสำนักข่าว The Guardian ซึ่งเขียนบทความวิเคราะห์ว่า “แอร์ดรอปในกาซาอาจไม่จำเป็น ถ้าอิสราเอลเผชิญกับแรงกดดันในเรื่องการส่งความช่วยเหลือที่เพิ่มมากขึ้น”
อ้างอิงจาก