หนึ่งในความฝันของคนตลก คือ อยากเป็นประธานงานแต่งงาน เพราะจะได้ขึ้นไปพูดคำว่า สวัสดี ‘เขียดผู้มีแกก’
ตอนนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่คำผวนเต็มไทม์ไลน์ไปหมด ไม่ว่าจะ จิตตุงแป่ง (ปรุงแต่ง!) ร้อยแพร่พันหม้อ (ร้อยพ่อพันแม่) หรือมีข้อพกบ้อง (บกพร่อง!) รู้ตัวอีกทีก็ผวนคำไม่หยุดไปซะแล้ว
ไม่ต้องแปลกใจไปถ้าเราจะชอบผวนคำขนาดนี้ เพราะว่าการเล่นคำผวนถือเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับภาษาไทยมาอย่างช้านาน ชนิดที่ว่าคนร้อยแพร่พันหม้อก็เข้าใจแน่นอน โดยคำผวนมีหลักการง่ายๆ คือ สับเสียงพยัญชนะของพยางค์ที่ต้องการผวน เช่น ชายเหมี่ยง (เชียงใหม่) ชายเรียง (เชียงราย)
โดยปกติแล้วการสับเสียงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเราสับเสียงโดยตั้งใจ มันต้องมีวัตถุประสงค์ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปริศนาคำทาย หรือเป็นการเข้ารหัสเรื่องเพศในฐานะสิ่งต้องห้ามในสังคม เช่น วรรณคดีอย่าง ‘สรรพลี้หวน’ ที่แต่งด้วยคำผวนเกือบทั้งหมด ตั้งแต่ชื่อเรื่อง ชื่อเมือง ชื่อตัวละคร หรือแม้กระทั่งบทบรรยาย ส่วนทางฝั่งการแสดงก็มีการเล่นเพลงพื้นบ้านที่มักใช้คำผวนโต้ตอบกันระหว่างชายหญิงด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำตัด อีแซว ยิ่งถ้าเข้าบทเกี้ยวพาราสีเมื่อไรล่ะก็ คำผวนมาเต็ม
ส่วนปัจจุบันนี้คำผวนสามารถใช้กับอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตับมุกตลกคลาสสิกอย่าง ‘ชายเหมี่ยง-เชียงใหม่’ ที่เรายกตัวอย่างไป ใช้จีบคนที่ชอบว่าเราใจสั่นเพราะกาแฟ หรือเพราะแกกันฟะ หรือแม้กระทั่งคำในชีวิตประจำวันอย่าง ‘จิตตุงแป่ง’ หรือ ‘เขียดผู้มีแกก’ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเผลอผวนคำที่เห็นก็ไม่ต้องสงสัย เพราะมันเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการใช้ภาษาที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น
ในภาษาอังกฤษก็มีการใช้คำผวนแบบนี้เหมือนกันนะ เรียกว่า Spoonerism ซึ่งใช้เรียกการสับเสียงทั้งสระและพยัญชนะ ส่วนถ้าใครมีข้อมูลว่าภาษาอื่นๆ เขาผวนคำกันอย่างไรก็มาแชร์ให้เราฟอยหนั่ง (ฟังหน่อย) นะ
อ้างอิงจาก
https://kukr.lib.ku.ac.th/db/index.php?/BKN/search_detail/result/200067
https://www.britannica.com/art/spoonerism