โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะเข้าพิธีสาบานตน เพื่อรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ในวันนี้ (20 มกราคม 2025) เวลา 12.00น. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเที่ยงคืนวันรุ่งขึ้นตามเวลาประเทศไทย)
หลายคนอาจเห็นข่าวผ่านตากันบ้าง ว่าก่อนจะถึงวันจัดพิธีสาบานตน มีหลากหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ที่ต่อแถวยาวเพื่อรอรับชมถ่ายทอดสดพิธีสาบานตนตั้งแต่ยังไม่เข้าวันที่ 20 มกราคม และในทางตรงกันข้าม ก็มีกลุ่มผู้ประท้วงที่เดินขบวนเรียกร้องประเด็นต่างๆ ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน
ในฐานะที่ไม่ใช่อเมริกันชน แต่เราทุกคนก็คงพอจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตื่นตัวเมื่อประเทศจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ เพราะการเปลี่ยนผ่านผู้นำ ย่อมหมายถึงความเปลี่ยนแปลงหลายประการที่จะตามมา
เช่นเดียวกันกับชาวอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อว่าที่ประธานาธิบดีจะต้องเข้า ‘พิธีสาบานตน’ อันเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่มีมากว่า 239 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหมุดหมายว่าอเมริกากำลังจะเข้าสู่ยุคของผู้นำคนใหม่แล้ว
ก่อนที่ทรัมป์จะต้องเข้าพิธีในคืนนี้ The MATTER ชวนมาทำความเข้าใจกับความสำคัญของพิธีสาบานตนนี้ไปด้วยกัน
ประวัติศาสตร์ต่างๆ อาจไม่ได้พูดตรงกันมากนัก ว่ามีการค้นพบสหรัฐอเมริกาเมื่อไร แต่ที่แน่ใจได้คือ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 สหรัฐอเมริกาได้ปลดแอกจากการอยู่ภายใต้อาณานิคมของสหราชอาณาจักร จนภายหลังวันดังกล่าวกลายเป็นวันชาติสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า ‘วันประกาศอิสรภาพ’ ในที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไปและสหรัฐฯ ได้รับการยอมรับจากอังกฤษในฐานะประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการ ในปี 1789 จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปฏิวัติอเมริกัน จึงจะได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ
แต่ในขณะนั้นที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้มีการตกลงระบบการปกครอง จึงมีการถกเถียงกันว่าผู้นำคนใหม่ควรดำรงตำแหน่งใด ในขณะนั้น รองประธานาธิบดีจอห์น อดัมส์ (John Adams) ได้เสนอชื่อ ‘ท่านผู้มีพระเมตตาสูงสุด’ แต่สุดท้ายก็เลือกเป็นชื่อตำแหน่ง ‘ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา’ ซึ่งได้รับการยกย่องน้อยกว่าแทน
การเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกของจอร์จ วอชิงตัน นี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดรูปแบบให้กับประเพณีต่างๆ มากมายที่ยังคงดำรงมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงพิธีสาบานตนด้วย
เดิมที พิธีสาบานตน ซึ่งก็คือวันที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเริ่มดำเนินงานนั้น ตรงกับวันที่ 4 มีนาคม ซึ่งถือว่าห่างออกมาจากวันเลือกตั้งรวมถึง 4 เดือน โดยสหรัฐฯ มีกำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอนเสมอ คือจะตรงกับวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ของทุกๆ 4 ปี
ช่องว่างที่ห่างขนาดนี้ในอดีต เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานในการนับคะแนนเสียง รวมถึงการเดินทางที่ไม่ได้สะดวกเหมือนกับในปัจจุบัน ซึ่งมันก็ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างรัฐบาลที่กำลังดำรงตำแหน่ง กับรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะขึ้นมา
ดังนั้น เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 20 ในปี 1933 จึงได้มีการแก้ไขในประเด็นนี้ด้วย โดยระบุว่าวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาแต่ละคน จะเริ่มขึ้นในเวลา 12.00น. ของวันที่ 20 มกราคมของปีถัดจากการเลือกตั้ง ดังนั้น พิธีสาบานตนที่จะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี จึงตรงกับวันที่ 20 มกราคมตั้งแต่นั้นมา เช่นเดียวกันกับครั้งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้
หนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี คือการกล่าวถ้อยคำที่กมาจากรัฐธรรมนูญ โดยผู้นำคนใหม่ จะต้องให้คำมั่นว่า “ข้าพเจ้าขอสาบานอย่างจริงจัง ว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจะรักษา ปกป้อง และคุ้มครองรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาอย่างสุดความสามารถ”
นัยสำคัญของประโยคนี้ คือการที่ผู้นำสัญญาว่าจะมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม และแฝงไปด้วยความถ่อมตัวเมื่อให้คำมั่นว่าจะรับใช้รัฐธรรมนูญ แทนที่จะเป็นการทำหน้าที่เพื่อส่งเสริมตนเอง ครอบครัว หรือทรัพย์สินของตน
ยิ่งสำหรับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ ที่การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามจะมีอิทธิพลไปทั่วโลก ทำให้การสาบานตนนั้นยิ่งมีความสำคัญและเป็นสิ่งที่ทุกคนติดตามรอคอย เพราะหากมีใครพูดผิดเพียงเล็กน้อย ก็อาจมีช่องว่างทางอำนาจเกิดขึ้นได้
เช่น ในปี 2009 ประธานศาลฎีกาโรเบิร์ตส์ (Roberts) ผู้นำกล่าวคำสาบานตน ได้พูดสลับลำดับคำที่มีความสำคัญในบท และบารัค โอบามา (Barack Obama) ผู้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีก็พูดตามนั้น ในวันถัดมา จึงได้มีการให้กล่าวคำสาบานรับตำแหน่งซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าคำสาบานดังกล่าวถูกต้อง
หลังสาบานตนเรียบร้อยแล้ว พิธีนี้ยังถือเป็นโอกาสที่ประธานาธิบดีคนใหม่จะได้สื่อสารวิสัยทัศน์สำคัญแก่ประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงกับคนทั่วโลก ซึ่งในครั้งปี 2017 ที่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เขาได้ปราศรัยว่า
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีเพียงแค่อเมริกาเท่านั้นที่เป็นที่หนึ่ง และผลประโยชน์ของอเมริกาจะมาก่อน […] เมื่ออเมริกาเป็นหนึ่งเดียวกันจะไม่มีอะไรหยุดเราได้” ตอกย้ำคำขวัญ ‘จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ (Make American Great Again) ของเขา
สำหรับคำปราศรัยแสดงถึงวิสัยทัศน์หลังจากพิธีสาบานตนในสมัยปี 2025 นี้ จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่น่าติดตามต่อไป เพราะอาจเป็นตัวกำหนดนโยบายการดำเนินงานต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากนี้ได้
อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนชาวอเมริกันแล้ว พวกเขาอาจมีมุมมองต่อพิธีนี้ที่แตกต่างกันออกไป บ้างอาจมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชน หรือมองว่าเป็นการแสดงความยิ่งใหญ่อลังการของประธานาธิบดี แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ คือสาระสำคัญของพิธีนี้ ที่เป็นเสมือนการเน้นย้ำถึงความชอบธรรมของรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการลงคะแนนเสียงของคนทั้งประเทศ
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามรับชมพิธีสาบานตนได้ทางการถ่ายทอดสดโดยสำนักข่าวต่างประเทศต่างๆ ในเที่ยงคืนวันนี้ ตามเวลาประเทศไทย
อ้างอิงจาก