ผ่านไปแล้วเป็นเวลา 3 วัน นับจากวันที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เข้าพิธีสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ 47 ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตั้งแต่ที่เขาเข้ามานั่งทำงานในห้องทำงานรูปไข่ ก็โชว์ฟอร์มไม่หยุดด้วยการอภัยโทษนักโทษกว่า 1,000 คน ที่ก่อเหตุจลาจลในวันที่ 6 มกราคม 2020
แม้ว่าตัวเขาเองจะบอกว่านี่คือ ‘ยุคทองของอเมริกา’ แต่สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปลายปากกาของเขาอาจไม่ได้คิดเช่นนั้น
#ความเท่าเทียมทางเพศ
ขณะที่ในวันนี้ประเทศไทยอนุญาตให้มีการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมเป็นวันแรก กลับกันในฝั่งสหรัฐฯ ทรัมป์ได้ยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับที่ส่งเสริมด้านความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBTQ และออกคำสั่งใหม่ให้กำหนดมีเพียง 2 เพศ เท่านั้น นั่นก็คือหญิงกับชาย รวมถึงยุติโครงการที่ส่งเสริมความหลากหลาย (DEI) ด้วย
ย้อนกลับไปช่วงที่ทรัมป์หาเสียง เขาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของรัฐบาลกลางและองค์กรธุรกิจ โดยบอกว่า นโยบายดังกล่าวเลือกปฏิบัติต่อคนผิวขาว โดยเฉพาะผู้ชาย นอกจากนี้ เขายังบอกด้วยว่า รัฐบาลของไบเดนบังคับใช้โปรแกรมต่อต้านการเลือกปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรม
#ถอนตัวจากWHO
ทรัมป์ระบุเหตุผลหลายประการในการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งรวมถึง การจัดการการระบาดของ COVID-19 ที่ล้มเหลว หรือการจ่ายเงินที่ไม่เป็นธรรม และบ่นว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินเยอะกว่าจีน แต่การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็ไม่ถึงกับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2020 เขาเคยโจมตี WHO มาแล้ว เกี่ยวกับแนวทางการจัดการการระบาดของ COVID-19 และขู่ว่าจะไม่ให้เงินสนับสนุน
#ไม่สนโลกร้อน
ทรัมป์แจ้งว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสำคัญระดับโลกที่จะควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเขาเคยถอนตัวไปครั้งนึงในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ในปี 2017
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นการทำลายความพยายามในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน จึงทำให้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
#ส่งทหารลงใต้
เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงบอกกับ CBS News ว่า กองกำลังของสหรัฐฯ กว่า 1,000 นาย และนาวิกโยธิน 500 นาย จะย้ายไปประจำการที่ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย และเอลปาโซ ในเท็กซัส โดยจะทำงานเกี่ยวกับการวางสิ่งกีดขวางและภารกิจชายแดนอื่นๆ นอกจากนี้เครื่องบิน C-17 สองลำและ C-130 สองลำ รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ จะถูกส่งไปยังชายแดนสหรัฐฯ กับเม็กซิโกด้วย
รักษาการรัฐมนตรีกลาโหม โรเบิร์ต ซาลเซส กล่าวว่า กระทรวงฯ จะจัดหาการขนส่งทางอากาศเพื่อสนับสนุนเที่ยวบินเนรเทศผู้คนมากกว่า 5,000 คนที่เขาอธิบายว่าเป็นคนต่างด้าวผิดกฎหมาย
#ระงับลี้ภัยไปสหรัฐฯ
BBC รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ระงับการเดินทางของผู้ลี้ภัยทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยด้วย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้หยุดกระบวนการส่งต่อผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ และหยุดโปรแกรมของรัฐบาลโจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้พลเมืองสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนผู้ลี้ภัย อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อผู้ที่ถือวีซ่าผู้อพยพพิเศษแต่อย่างใด
ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อระงับโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐฯ (USRAP) โดยระบุว่า สหรัฐฯ ขาดความสามารถในการรองรับผู้อพยพจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ลี้ภัย เข้าสู่ชุมชนที่จะไม่กระทบต่อทรัพยากรที่มีให้ชาวอเมริกัน และจะระงับจนกว่าการเข้ามาของผู้ลี้ภัย จะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
#ขู่รัสเซีย
ทรัมป์บอกว่า รัสเซียจะเผชิญกับการจัดเก็บภาษีและการคว่ำบาตรในระดับสูง หากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินไม่ยุติสงครามในยูเครน
ต้นเรื่องมาจากการโพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ของเขาเอง โดยแสดงความรักที่มีต่อชาวรัสเซีย และความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อปูติน แต่ก็ออกคำเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่า “หยุดสงครามไร้สาระนี่ซะ!”
“มันจะยิ่งเลวร้ายลง ถ้าไม่ทำข้อตกลงร่วมกัน และในไม่ช้าผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บภาษีและคว่ำบาตรระดับสูงกับทุกสิ่งที่รัสเซียขายให้สหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วม ซึ่งวันนี้มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำข้อตกลง มันไม่ควรให้เกิดการสูญเสียอีกต่อไปแล้ว” เขากล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย
รัสเซียเป็นประเทศที่ถูกคว่ำบาตรมากที่สุดในโลกอยู่แล้ว และมีหน่วยงานหรือภาคส่วนสำคัญเพียงไม่กี่แห่งที่ไม่ถูกจำกัดโดยสหรัฐ และยุโรป ซึ่งธนาคารรัสเซียและบริษัทอุตสาหกรรมการทหารได้ปรับตัวและพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรที่มีอยู่
#TikTok
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับ Fox News เกี่ยวกับประเด็นของแอปพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง TikTok ซึ่งก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้แบน TikTok ซึ่งต่อมาทรัมป์ได้ลงนามสั่งขยายเวลาให้ TikTok ถูกแบนเป็นเวลา 75 วัน หากไม่มีการขายแอปฯ ดังกล่าว
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมคิดว่า TikTok จะยังอยู่ต่อไป แต่ถ้าถามถึงความกลัวเรื่องการสอดแนมของรัฐบาลจีน เราก็สามารถพูดได้กับทุกอย่างที่ผลิตในจีนนั่นแหละ ซึ่งโทรศัพท์ของเราเองก็ผลิตในจีน”
“การสอดแนมหนุ่มสาวที่ดูวิดีโอบ้าๆ บอๆ นี่สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?” ทรัมป์กล่าวและบอกอีกว่า “พวกเขาสร้างโทรศัพท์ให้คุณ สร้างคอมพิวเตอร์ให้คุณ นั่นไม่ใช่ภัยคุกคามที่ใหญ่กว่าหรือไง”
อ้างอิงจาก