เวลาประมาณ 19.15 น. กัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแพทองธาร โดยกล่าวว่า ตนไม่ได้มองอะไรแตกต่างไปจากผู้นำฝ่ายค้านที่บอกว่านายกฯ คนนี้ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ และได้ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในเวทีโลก
กัณวีร์ เริ่มอภิปรายถึงกรณีการผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยอ้างว่าชาวอุยกูร์สมัครใจกลับ ขณะที่มีหลักฐานว่าจริงๆ แล้วรัฐบาลไทยโกหกหลายต่อหลายครั้ง และตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่าเกิดจากความสมัครใจจริงหรือไม่ “นายกฯ พูดออกสื่อเกี่ยวกับการผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศว่า ‘สมัครใจสิคะ’ อันนี้เป็นสิ่งที่นายกฯ พูดไว้กับสื่อหลังจากสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น”
กัณวีร์ อภิปรายต่อว่า 73 วันแห่งการโกหก การบิดเบือนที่ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทย มันเริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 วันนั้นเราเพิ่งทราบภายหลังว่าสถานเอกอัคราชทูตจีนประจำประเทศไทย มีหนังสือทางการทูต ระบุว่า พร้อมที่จะรับคนสัญชาติจีน 45 ชีวิตกลับประเทศจีน ทั้งๆ ที่เรามีหลักฐานว่าเขาเป็นคนตุรกี ขณะที่บอกด้วยว่ามันปลอดภัย “นั่นคือวันแรกที่มีการโกหกเกิดขึ้น”
“หลังจากที่สถานทูตจีนถึงสำนักงานต่างประเทศ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ไปถ่ายรูปชาวอุยกูร์ ที่ถูกขังอยู่ในนั้นมานาน 10 ปี คำถามคือถ่ายทำไม? ขณะที่ต่อมา มีการเอาเอกสารมาให้ผู้ต้องกักเซ็นต์ และเริ่มมีการอดข้าวประท้วง” กัณวีร์อภิปราย
ในคลิปเสียงที่กัณวีร์เปิดเผยต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นเสียงจากผู้ต้องกักที่มีใจความว่า ‘ให้ชาวไทยมุสลิมช่วยบอกรัฐบาลให้ส่งเราไปประเทศอื่น เราไม่ต้องการกลับไปที่ประเทศจีน’ ต่อมาสตม. ได้เข้ามาแจ้งว่าจะไม่ส่งกลับ ทุกอย่างเป็นเพียงข่าวลือ แต่หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันเรื่องจะส่งกลับ และมีคำสั่งให้ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน
“จนกระทั่งวันที่ 20 กุมภาพันธ์ มีการตรวจสุขภาพ คนที่เขาอยู่ในห้องกักมานาน 10 ปี เขารู้ว่ามันคือการเตรียมความพร้อม เขารู้ว่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา มันคือสิ่งผิดปกติ เขาบอกว่าต้องโดนส่งกลับแน่นอน นี่คือสิ่งที่เราได้รับข้อมูลมา ทุกคน ทั่วโลกได้รับข้อมูลหมด แต่รัฐบาลชุดนี้ที่นำโดยนายกฯ ที่ชื่อแพทองธาร ไม่รู้” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์บอกว่า รัฐบาลได้โกหกบิดเบือน โดยปฏิเสธทั้งหมด 6 ครั้ง แต่สุดท้ายออกมาแถลงตอนเย็นของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยยืนยันว่าไม่มีประเทศที่ 3 ขอรับตัวชาวอุยกูร์ ขณะที่คนที่หายไปหลังจากวันที่ 2 มีนาคม นายกฯ ไม่ออกมาพูดเรื่องนี้อีกเลย เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จนกระทั่งวันที่ 6 มีนาคม มีการออกมายอมรับว่ามีบางประเทศพร้อมรับตัวชาวอุยกูร์ แต่รัฐบาลเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการส่งตัวกลับประเทศจีน
“เปิดม่านละครคุณธรรมในวันที่ 18 – 20 มีนาคม ที่รัฐบาลไทยเดินทางไปเยี่ยมชาวอุยกูร์จำนวน 5 รายที่ประเทศจีน ผมพูดได้เลยหนึ่งในนั้นอายุ 37 ปี ท่านรู้หรือเปล่า รู้ไหมว่าลูกเมียเขาอยู่ไหน ลูกเมียเขาไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ประเทศที่ 3 ไปแล้ว เมื่อปี 2558 แล้วท่านจะให้เขากลับไปรวมครอบครัวกับใคร”
“ส่วนอีกคนเป็นผู้ป่วยจิตเวช ท่านรู้หรือเปล่า มีเวชระเบียนหรือไม่ ท่านได้คุยถามเขาไหม มียาไปให้เขาไหม นี่แค่ 2 จาก 5 คนนะ ท่านมีข้อมูลเหล่านี้หรือเปล่าก่อนที่ท่านจะไปทำละครคุณธรรม ที่เอามาทำให้ทั่วโลกเห็นและคนไทยเห็น”
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ 73 วันแห่งการโกหกหลอกลวงปู้ยี่ ปู้ยำ นโยบายการต่างประเทศของประเทศไทย สิ่งที่ท่านมาแถลงให้กับพี่น้องคนไทยทราบว่าท่านจะไม่เลือกข้าง ท่านรู้ไหมว่าท่านเลือกข้างไปหลายครั้งแล้ว และครั้งนี้ท่านเลือกข้างผิด ท่านไม่เลือกข้างสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากผลกระทบต่างๆ จากเวทีระหว่างประเทศ”
“เราต้องมีจุดยืนที่มั่นคง ผมไม่เห็นประเทศไทย รัฐบาลไทยชุดนี้มีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีระหว่างประเทศ ไม่มีนโยบายการต่างประเทศใดๆ ที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเมืองระหว่างประเทศในศตวรรษที่ 21 ชีวิตชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตนี้อาจจะดูเล็กน้อยสำหรับพวกท่าน แต่ครอบครัวพวกเขาที่โดนแยกออกไปตั้งแต่ปี 2558 ยังรอคอยอยู่”
“หลักฐานสำคัญที่ท่านจะต้องแสดงให้ได้ คือหลักฐานแสดงความสมัครใจของคน 40 ชีวิต ต้องเอาเสียงของเขามาพูด อย่ามาละครคุณธรรมที่เอาเขากลับไปแล้ว และไปให้เขาพูด” กัณวีร์กล่าวพร้อมกับเปิดหลักฐานของชาวอุยกูร์ที่ไม่สมัครใจกลับประเทศจีน โดยเป็นใบมรณะบัตรของชาย 2 ราย
กัณวีร์ กล่าวด้วยว่า การส่งชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับจีนเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ ขอย้ำว่านโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ ‘เขียนด้วยมือและลบด้วยเท้าสกปรกของพวกท่าน’ จากภาพยนตร์เรื่องนี้ 73 วันแห่งการหลอกลวง มันทำให้เห็นชัดเจนถึงความไร้ประสิทธิภาพ ทำตัวอยู่เหนือผลประโยชน์ประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้คือการทุจริตเชิงนโยบายการต่างประเทศ
“ผมจึงขอสนับสนุนการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจสำหรับนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร” กัณวีร์กล่าวทิ้งท้าย