หลังจากที่มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ได้ออกมาเปิดเผยการทำเหมืองแร่หายาก (แรร์เอิร์ธ) บริเวณตอนใต้ของเมืองสาด รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ห่างจากชายแดนของไทยเพียง 25 กิโลเมตร สังคมก็หันมาสนใจประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง
ทั้งยังตั้งคำถามว่า เหมืองแร่แรร์เอิร์ธคืออะไร? ต่างจากเหมืองแร่ทั่วไปอย่างไร? อันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมแค่ไหน? และที่สำคัญที่สุด จะส่งผลกระทบถึงประเทศไทยอย่างไร?
ทำความเข้าใจแร่แรร์เอิร์ธ
แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements หรือ REE) คือกลุ่มของธาตุ 17 ชนิด ที่มีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายคลึงกัน โดยครอบคลุมธาตุกลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanide) 15 ชนิด และอีก 2 ชนิดคือ สแกนเดียม (Scandium) และอิตเทรียม (Yttrium)
แม้ว่ากลุ่มธาตุที่กล่าวมาจะมีอยู่ในธรรมชาติ แต่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแร่ ‘หายาก’ ก็เพราะไม่ค่อยพบแร่ธาตุเหล่านี้ในรูปแบบบริสุทธิ์ อีกทั้งกระบวนการสกัดยังเป็นอันตรายอย่างมาก
ธาตุกลุ่มนี้กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นในระยะหลังๆ เนื่องจากกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์ไฮเทคหลากหลายชนิด ที่ถูกใช้งานในหลายวงการ ทั้งเทคโนโลยีการแพทย์ การป้องกันประเทศ ธุรกิจต่างๆ จนถึงใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของเรา
ตัวอย่างที่เรารู้จักเป็นอย่างดี คือ สมาร์ตโฟน ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด จอแสดงผลอิเล็กทรอนิกส์ ระบบนำทาง การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ การสแกน MRI ระบบเรดาร์และโซนาร์ จนถึงอาวุธยุทโธปกรณ์
แร่แรร์เอิร์ธกับสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
แร่กลุ่มนี้จึงเป็นที่ต้องการของหลายประเทศ โดยสถาบันธรณีวิทยาอเมริกัน (American Geosciences Institute) รายงานว่า เมื่อปี 1993 จีนผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ได้ราว 38% ของโลก ในขณะที่สหรัฐฯ ผลิตได้ 33% ตามด้วยออสเตรเลีย 12% มาเลเซียและอินเดีย 5% ส่วนที่เหลืออยู่ในประเทศอื่นๆ เช่น บราซิล แคนาดา แอฟริกาใต้ ศรีลังกา รวมถึงไทย
แต่มาในปี 2023 องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency หรือ IEA) รายงานว่า จีนสามารถผลิตได้ 61% และแปรรูปได้ถึง 92% ของจำนวนแร่แรร์เอิร์ธทั้งหมดในโลก นับเป็นปริมาณการผลิตที่ก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด จนสำนักข่าว BBC ระบุว่า จีนเกือบจะเป็นผู้ผูกขาดการสกัดและกลั่นแร่ชนิดนี้
ประเทศที่ครอบครองแร่ดังกล่าว จึงกลายเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเพราะสหรัฐฯ พึ่งพาแร่เหล่านี้อย่างมาก โดยสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา (U.S. Geological Survey หรือ USGS) ระบุว่าระหว่างปี 2020 ถึง 2023 สหรัฐฯ นำเข้าแร่แรร์เอิร์ธจากจีนถึง 70% จากทั้งหมด
การกำหนดนโยบายแร่แรร์เอิร์ธของจีน จึงมีผลต่อสหรัฐฯ อย่างมาก และที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็สั่งให้กระทรวงพาณิชย์ คิดหาวิธีเพิ่มการผลิตแร่ธาตุที่สำคัญ เพื่อพึ่งพาการนำเข้าให้น้อยลง
กระบวนการทำเหมืองแร่
ทีนี้มาลองดูการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธบ้าง ซึ่งกระบวนการก็มีหลายวิธี โดย ธารา บัวคำศรี ผู้ร่วมก่อตั้งกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เปิดเผยข้อมูลบนเว็บไซต์ taragraphies.org ว่าวิธีการสกัดแร่แรร์เอิร์จากพื้นดิน ที่พบมากที่สุดคือ การทำเหมืองแบบเปิดหน้าดิน (open-pit mining) และวิธีการละลายแร่ในแหล่งกำเนิด (in-situ leaching)
ธาราระบุว่า ปัจจุบันการสกัดแร่แรร์เอิร์ธแบบ in-situ leaching นิยมมากกว่า open-pit mining เพราะอาจใช้ต้นทุนน้อยกว่า ทั้งวัสดุพื้นฐาน ทั้งเทคโนโลยี ที่ถูกกว่าและการขนส่งที่ง่ายกว่า อีกทั้งวิธี open-pit mining ยังต้องใช้เครื่องจักรหนักเพื่อขุดเจาะ รวมถึงต้องถางป่าบริเวณกว้าง ทำให้เกิดกากแร่ที่ต้องจัดการในปริมาณมาก ตามไปด้วย
ในขณะที่วิธี in-situ leaching อาศัยแรงงานขุดหน้าดินน้อยกว่า และสร้างของเสียน้อยกว่า รวมถึงถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และให้อัตราการสกัดที่สูงกว่า
สำหรับกระบวนการของ in-situ leaching ธาราให้ข้อมูลว่า วิธีดังกล่าวเป็น ‘การฉีดของเหลว’ เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต แอมโมเนียมคลอไรด์ หรือสารอื่นๆ ลงไปในชั้นดินเหนียว ในบ่อลึกแนวตั้งที่เจาะบริเวณแหล่งแร่ที่ยอดเขา โดยมีการสูบน้ำปริมาณมหาศาลเข้าไป เพื่อดันสารละลายให้ไหลผ่านดินเหนียว
จากนั้น “สารละลายนี้จะไหลลงตามแรงโน้มถ่วง และละลายแร่แรร์เอิร์ธออกมา” โดยไอออนของแร่แรร์เอิร์ธจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่ฉีดเข้าไป แล้วแยกตัวออกจากเนื้อแร่ แล้วจึงไหลเข้าสู่บ่อสะสม
เขาอธิบายต่อว่า จะมีการเติมสารเคมีต่างๆ ลงไปในถังเก็บน้ำ เพื่อให้แร่แรร์เอิร์ธตกตะกอนเป็นของแข็ง โดยน้ำส่วนใหญ่จะถูกระบายออก ส่วนตะกอนเปียกจะถูกตักออกไปยัง ‘พื้นที่เผา’ จากนั้นตะกอนจะถูกเผาในเตาขนาดใหญ่ ซึ่งอาจใช้เวลาเผาสูงสุด “ถึง 48 ชั่วโมง”
“ตะกอนเปียก 3-4 ถุง จะให้ฝุ่นแร่แห้งเพียง 1 ถุง” ธาราระบุว่า ต่อจากนั้นฝุ่นแร่แห้งที่ได้ จะเข้าสู่กระบวนการกลั่นเป็นแร่แรร์เอิร์ธต่อไป
ทั้งนี้เขาชี้ว่า in-situ leaching นั้น เสี่ยงต่อการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดิน จากการฉีดสารชะละลาย อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม จากการสูบน้ำและฉีดสารเคมีเข้าสู่ชั้นดินเหนียว
เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในเมียนมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพบเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมา ก่อนหน้านี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีว่า การทำเหมืองประเภทนี้ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของเมียนมา และติดพรมแดนประเทศจีน
ที่ผ่านมา ดอยช์ เวเลย์ (Deutsche Welle หรือ DW) สื่อสัญชาติเยอรมนี ก็ได้กล่าวถึงกรณีที่จีนลดการขุดแร่แรร์เอิร์ธในประเทศ ทำให้มีการทำเหมืองในประเทศเมียนมาเพิ่มมากขึ้น
รายงานจาก Global Witness หรือองค์กรสากลด้านสิ่งแวดล้อม ยังระบุว่า จีนนำเข้าแร่แรร์เอิร์ธประเภทธาตุหนักจากเมียนมา ในจำนวนพุ่งสูงขึ้น จากระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ในปี 2021 ที่ 19,500 ตัน เป็น 41,700 ตันในปี 2023
“การทำเหมือง ที่ส่วนใหญ่ไม่ถูกควบคุมโดยทั้งสองฝ่าย เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และภัยคุกคามที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ กำลังกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้นเรื่อยๆ” Global Witness ระบุในรายงานเมื่อปี 2024
อันตรายต่อแรงงานเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในเมียนมา
นอกจากนี้ DW ยังชี้ถึงอันตรายของการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธแบบ in-situ leaching ต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและชาวบ้านในเมียนมา
“ตอนนี้ภูเขาเหล่านั้นน่าเกลียดมาก แม่น้ำกลายเป็นสีแดง สารเคมีบางชนิดที่ใช้ในบ่อขุดแร่ ก็ถูกทิ้งลงไปในน้ำ” เซง ลี่ (Seng Li) นักรณรงค์สิทธิมนุษยชน และผู้ศึกษาแหล่งขุดแร่ทางตอนเหนือของเมียนมา บอกกับ DW ว่าภูเขาบริเวณนั้น เคยเป็นสีเขียวมาก่อนที่จะเริ่มทำเหมือง
ด้าน ลาห์ทาวไก (นามสมมติ) นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมในเมียนมา ก็บอกว่า “คนที่นั่นทำงานโดยไม่สวมถุงมือและหน้ากาก บริษัทไม่ได้ให้การป้องกัน ดังนั้นคนงานจึงป่วย จากนั้น (บริษัท) จึงไล่พวกเขาออกและนำคนงานใหม่เข้ามาแทน”
เธอเล่าอีกว่า บริเวณใกล้ๆ เหมืองจะส่งกลิ่นเหม็นตลอดเวลา จากการเผาไหม้ตะกอนแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเธอและทีมวิจัยไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้นานกว่า 30 นาที เพราะหายใจลำบาก
ลาห์ทาวไก ย้ำว่าประชาชนในเมียนมาไม่อยากให้จีนขุดแร่ต่อไป โดยบอกว่า “หากประชาคมระหว่างประเทศต้องการซื้อแร่เหล่านี้ต่อไป พวกเขาก็ต้องใช้แหล่งที่มา (ของแร่) อย่างรับผิดชอบ”
ทั้งสองต่างเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลการทำเหมืองที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกับปรับปรุงเงื่อนไขการทำงานให้ปลอดภัย ซึ่งเซง ลี่ระบุว่า เพื่อ “ไม่ให้ประโยชน์กับแค่กลุ่มติดอาวุธและนักลงทุนชาวจีนเท่านั้น”
อ้างอิงจาก
profession.americangeosciences.org