หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่าสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่าน ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศก็รุนแรงขึ้นทันที
เมื่อวานนี้ (22 มิถุนายน 2025) Press TV สื่อของอิหร่านรายงานว่า รัฐสภาของอิหร่านได้อนุมัติมาตรการปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญระดับโลก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มตินี้จะมีผลทำให้ช่องแคบฮอร์มุซทันที เนื่องจากการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด (Supreme National Security Council) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงสูงสุดของอิหร่าน รวมถึงผู้นำสูงสุด อายาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้สร้างความถามต่อคนทั่วโลก ว่าหากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิดจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง น้ำมันจะแพงขึ้นหรือไม่ จนถึงจะส่งผลกระทบเราอย่างไรบ้าง?
ทำไมช่องแคบนี้จึงสำคัญมาก?
ช่องแคบฮอร์มุซ ถือเป็นจุดคอขวด (chokepoint) ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่คั่นกลางระหว่างอิหร่านกับโอมาน ซึ่งที่ผ่านมาช่องแคบนี้เป็นเส้นทางสำคัญ สำหรับการขนส่งน้ำมันจากประเทศต่างๆ ในอ่าวเปอร์เซีย เพราะเชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับเขตทะเลเปิด
หลายคนถือว่า ช่องแคบฮอร์มุซเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งน้ำมัน ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีการขนส่งน้ำมันกว่า 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำมันทั่วโลก หรือประมาณ 17.8 ล้านถึง 20.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ก็ต้องผ่านช่องแคบนี้ทุกวัน
ทั้งนี้ประเทศสมาชิกขององค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต และอิรัก ส่งออกน้ำมันดิบส่วนใหญ่ผ่านช่องแคบนี้ โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังเอเชีย
จะเกิดอะไรขึ้น หากช่องแคบนี้ถูกปิด?
ช่องแคบฮอร์มุซมีความสำคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพราะการส่งออกและน้ำเข้าน้ำมัน ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจโลก ทั้งยังเป็นเครื่องทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่ประเทศต่างๆ สามารถใช้ต่อรองผลประโยชน์ได้
ในแง่เศรษฐกิจ แน่นอนว่าการปิดช่องทางขนส่งน้ำมัน จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลต่อเงินเฟ้อในสหรัฐฯ และทั่วโลกทันที โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เพราะจีนซื้อน้ำมันของอิหร่านเกือบ 90% ซึ่งอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรของนานาชาติ
หากต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มขึ้น ก็ย่อมทำให้สินค้าแรงแพงขึ้น จนนานาประเทศที่พึ่งพาจีนในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน โดยคาดกันว่าภาคการผลิต การขนส่ง และการเกษตร จะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ จนเกิดความผันผวนในตลาดของหลายประเทศในที่สุด
นอกเหนือจากน้ำมันแล้ว ช่องแคบนี้ยังเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการขนส่งทั่วโลก ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอาจทำให้การขนส่งวัสดุ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคล่าช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในขณะเดียวกัน การทำเช่นนี้อาจไม่เป็นผลดีต่อเตหะรานเอง เนื่องจากอิหร่านก็ส่งออกน้ำมันจากช่องแคบเดียวกันนี้ จนอาจทำให้เศรษฐกิจในประเทศได้รับความเสียหายรุนแรง
“เป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ” มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่าการปิดช่องแคบจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเตหะราน
พร้อมกันนี้ รูบิโอเรียกร้องให้จีนช่วยหยุดอิหร่านไม่ให้ปิดช่องแคบ โดยบอกกับ Fox news ว่า “ผมขอสนับสนุนให้รัฐบาลจีนในปักกิ่ง โทรหาพวกเขา (อิหร่าน) เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพวกเขาพึ่งพาน้ำมันจากช่องแคบฮอร์มุซเป็นอย่างมาก”
ผลกระทบด้านความมั่นคง
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การปิดช่องแคบอาจกระตุ้นให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหาร โดยสำหรับในภูมิภาคตะวันออกกลาง ประเทศในอ่าวเปอร์เซีย อาจเข้าร่วมสงครามเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง จนสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนในระดับกว้าง ภูมิภาคอื่นๆ อาจถูกดึงดูดเข้าไปในความขัดแย้งผ่านกลุ่มพันธมิตร เช่น NATO ได้
ทั้งนี้ในอดีตเตหะรานเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบ ซึ่งจะจำกัดการค้าและกระทบถึงราคาน้ำมันทั่วโลก แต่ไม่เคยดำเนินการตามคำขู่ดังกล่าวเลย ทำให้หลายฝ่ายมองว่า การอนุมัติให้ปิดช่องแคบของรัฐสภาอิหร่านครั้งนี้ อาจเป็นไปเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์แทน
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคน ยังคงติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ด้วยย้ำว่าสถานการณ์อาจผันผวนได้ตลอดเวลา และตอนนี้การตัดสินใจครั้งนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด
อ้างอิงจาก