จีน ประเทศที่ผงาดขึ้นมา มีเศรษฐกิจที่เติบโตพุ่งอย่างรวดเร็ว แซงญี่ปุ่นขึ้นมาตีคู่กับสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงชะลอตัวแล้ว หลังจากการเติบโตเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ถือว่าลดต่ำลงที่สุดในรอบ 3 ศตวรรษ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญมาจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2018 ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกขยายตัวร้อยละ 6.6 ซึ่งถือว่าลดจากปี 2017 ในช่วงเดียวกันที่ร้อยละ 6.9 ทั้งการเติบโตในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ยังลดต่ำสุดอยู่ที่ร้อยละ 6.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ทำให้นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีน ประกาศว่ารัฐบาลจะประคองเศรษฐกิจไม่ให้ดิ่งลงหนัก
การเติบโตนี้ ถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 28 ปี ตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งมีอัตราเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 3.9 จากเหตุการณ์ปราบปรามการประท้วงการชุมนุมเพื่อประชาธิปไตย บริเวณจัสตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งทำให้จีนถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แต่ในปีนี้ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญคือ สงครามการค้า และการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในการนำเข้าของจีน ทั้งยังเจอการกดดันการควบคุมการนำเข้าจากทั่วโลก ตลาดการเงินที่ผันผวน และการลงทุนที่ลดลง
รัฐบาลจีน และพรรคคอมมิวนิสต์เอง ต่างพยายามผลักดันให้จีนเติบโตช้าลง แต่ยั่งยืนมากขึ้น โดยอิงจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค แทนการค้าและการลงทุน แต่การชะลอตัวในปีที่ผ่านมารุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้รัฐบาลเร่งการใช้จ่ายภาครัฐและสั่งให้ธนาคารให้สินเชื่อมากขึ้น เพื่อเร่งการเติบโตและหลีกเลี่ยงการสูญเสียงานที่เป็นอันตรายทางการเมือง
ทั้งยังมีความพยายามในการเจรจากับสหรัฐฯ โดยส่ง หลิว เฮ รองนายกฯ และหัวหน้าเจรจาการค้าของประเทศจีน ไปเจรจาในปลายเดือนนี้ เพื่อหาข้อยุติในสงครามการค้าด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนักเศรษฐศาสตร์หลายคนกลับมองว่า เศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะย่ำแย่ลงอีก โดย Iris Pang จากบริการด้านการธนาคาร การเงิน ประกันภัย และการบริหารสินทรัพย์มองว่า “ธุรกิจที่ไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานจะไม่เติบโต และปีนี้จีนจะมีหนี้เพิ่มมากขึ้น” ไปจนถึงนักพยากรณ์เศรษฐกิจที่มองว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในปีนี่น่าจะลดลงไปที่ 6.3 หรือต่ำกว่านั้นอีกด้วย
อ้างอิงจาก
https://www.businessinsider.com.au/china-gdp-q4-2018-2019-1
https://www.apnews.com/b79891ffe1e94bfca0573439a2b46e63
#Brief #TheMATTER