“ตอนนี้รัฐตั้งไว้ว่าถ้าค่าฝุ่นอยู่ที่ระหว่าง 50-90 ให้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานกลาง แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แม่ค้า คนใช้ถนน ไม่ต้องไปถึงค่านั้นหรอก แค่ 30 กว่าๆ ก็หนักแล้ว เพราะเขาต้องสูดมันตลอดทั้งวัน”
ปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังคงน่ากังวลในหลายพื้นที่ กลายเป็นคำถามจากหลายๆ คนว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ภาครัฐเราต้องยอมรับว่าสถานการณ์มันวิกฤตแล้วจริงๆ และต้องเพิ่มมาตรการทั้งระยะสั้น และระยะยาวที่จริงจังกว่านี้?
ผอ.ประจำประเทศไทย กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธารา บัวคำศรี ระบุกับ The MATTER ว่า การแก้ปัญหาหลายอย่างของภาครัฐตอนนี้ยังไม่ถูกจุดมากนัก โดยเฉพาะเรื่องการฉีดน้ำและการตรวจจับรถควันดำ ซึ่งเชื่อว่ามันคือการ ‘ซื้อเวลา’ เพื่อให้ถึงช่วงที่ฝนจะเข้ามาเท่านั้น
“พอเราแก้ไม่ถูกจุดมันก็คือการซื้อเวลาให้ปัญหานี้มันหายไป มันเหมือนถ่วงเวลาว่าเดี๋ยวเดือนกุมภาพันธ์ฝุ่นมันก็ไปแล้ว
ผอ.กรีนพีซไทย ย้ำด้วยว่า รัฐต้องเริ่มตระหนักว่า ตอนนี้ถึงแม้ค่าฝุ่น PM2.5 จะยังไม่ถึงเกณฑ์อันตรายตามที่รัฐวางเอาไว้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตบนท้องถนนทั้งวัน หรือคนที่ต้องเดินทางในช่วงเช้านั้น ค่าฝุ่นที่เกิดขึ้นมันก็มีผลต่อชีวิตของพวกเขาไปแล้ว
“ทุกครั้งที่สูดมลพิษเข้าไป เรากำลังถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนจะได้หายใจเอาอากาศดีเข้าไป รัฐมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มันเป็นสิทธิที่ควรจะถูกปกป้อง” ธารา ระบุ
ข้อเสนอของ ผอ.กรีนพีซไทยในตอนนี้ คือรัฐต้องเพิ่มการดูและในระยะเร่งด่วนกับประชาชนให้มากขึ้น และ กทม.ควรเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนได้ร่วมกันกำหนด ‘เกณฑ์’ ความอันตรายของฝุ่น PM2.5
“มันมีกรณีที่กลุ่มประชาคมเชียงใหม่ ทั้งประชาชนและนักวิชาการ เขาคิดดัชนีคุณภาพอากาศเพื่อสุขภาพของชาวเชียงใหม่ขึ้นมา มันเป็นดัชนีที่เตือนว่าไม่ต้องมีค่าฝุ่นถึง 50 มันก็แย่แล้ว และควรออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนทันที อันนี้คือ Air Quality Health Index ซึ่งมันแยกออกมาจาก Index ของกรมควบคุมมลพิษ มันเป็นข้อตกลงประชาคม
“กรุงเทพมันก็ต้องตกลงกันเองเหมือนกัน เพราะผลกระทบสุขภาพมันไม่ได้เริ่มต้นที่ค่า 90 บางทีมันกระทบตั้งแต่ค่าเกิน 25 แต่ตอนนี้เวลาเตือนกลุ่มเสี่ยง เขาเตือนที่ค่า 51 ขึ้นไป” ผอ.กรีนพีซไทย กล่าว
ติดตามบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้เร็วๆ นี้
#Brief #TheMATTER