‘โลกนี้มีเพียงชายกับหญิง’ คือข้อเท็จจริง หรือเพียงมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นมา?
คำถามข้างต้นอาจฟังดูสงสัยอยู่ไม่น้อย ก็มันจะไม่ใช่ความจริงได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่เกิดมา เราก็ได้รับคำนิยามแล้วว่า มีอวัยวะเพศแบบนี้คือเด็กชาย มีอวัยวะเพศแบบนั้นคือเด็กหญิง และถูกพร่ำสอนมาโดยตลอดเวลาว่าถ้าเป็นชายต้องรักกับหญิง และหญิงต้องรักกับชาย
แต่ในเมื่อในเรื่องจริง (จริงๆ) ก็ยังมีคนที่รับรู้ว่าตนเองชอบพอในเพศที่ไม่ตรงกับความคาดหวังของสังคม คนที่เกิดมาพร้อมกับอวัยวะเพศที่ระบุได้ยากว่าเป็นชายหรือหญิง คนที่ไม่รู้สึกว่าตนเป็นทั้งหญิงหรือชายจนตะขิดตะขวงใจมาตลอดชีวิต และอีกมากมาย
นำมาสู่นิยามใหม่ที่สังคมได้ทำความรู้จัก อย่าง ‘ความหลากหลายทางเพศ’ ที่คนยุคใหม่ก้าวข้ามไปได้แล้ว พร้อมกับหนึ่งในข่าวที่น่ายินดีของปี 2024 ว่าประเทศไทยกำลังจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง อย่าง ‘นอนไบนารี’ และ ‘Xenogender’ ที่ดูเหมือนไม่ว่าจะทำอย่างไร คนก็อาจยังไม่สามารถเข้าใจพวกเขาได้ ตามมาด้วยสิทธิทางสังคมและทางกฎหมายที่ขาดหาย ทั้งที่สิทธิความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิที่จะได้รับการเคารพและยอมรับในตัวตนของคนทุกคน ถือเป็นสิทธิมนุษยชน
The MATTER จึงขอชวนเชิญมาร่วมทำความเข้าใจปัญหาของ ‘ระบบสองเพศ’ ที่แบ่งโลกนี้เป็นเพียงชายหญิง ทำความรู้จักกับแนวคิดเพศทั้ง 5 มิติ พร้อมปัญหาเรื่องเพศที่ยังคงค้างคาในสังคมไทย กับ คิวเบเล่ย์ – คณาสิต พ่วงอำไพ นอนไบนารี ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิวัติระบบสองเพศ

คิวเบเล่ย์ – คณาสิต พ่วงอำไพ
ทำไมถึงนิยามว่าเป็น ‘นักปฏิวัติระบบสองเพศ’ ระบบนี้คืออะไร แล้วมันมีปัญหาอย่างไร
ปัญหาสังคมทุกวันนี้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องเพศ ล้วนเกิดจากระบบสองเพศ และระบอบชายเป็นใหญ่ทั้งสิ้น เพราะมันเป็นระบบที่แบ่งแยกคนออกเป็นสองเพศและมอบหมายบทบาทหน้าที่ให้แต่ละเพศเอาไว้ ซึ่งมีการให้บทบาทกับเพศหนึ่ง คือเพศชาย ได้มีบทบาทอํานาจหน้าที่เหนือกว่าเพศหญิง ซึ่งเป็นจุดที่เป็นปัญหา
ระบบสองเพศนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเท่าที่มีหลักฐานบันทึกเอาไว้ เกิดขึ้นในยุคที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในซีกโลกทางตะวันตก มีการแบ่งบทบาทขึ้นเพื่อให้คนเป็นฟันเฟืองหนึ่งในระบบอุตสาหกรรมทุนนิยม โดยกำหนดให้ผู้ชายออกไปทํางานนอกบ้าน ให้ผู้หญิงผลิตลูกและทำงานบ้านที่ไม่ได้ค่าตอบแทน
แต่ระบบนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะหากย้อนไปสมัยโบราณกาล มีตัวอย่างที่ชี้ชัดว่ามีการพูดถึงกลุ่มเพศที่ไม่ใช่ชายและหญิงอีกหลายกลุ่ม เป็นกลุ่มเพศเฉพาะวัฒนธรรมต่างๆ เช่น ในอเมริกาสมัยก่อน ที่มีชนพื้นเมืองอเมริกา เผ่านาวาโฮ เขาก็มี 5 Gender Role คือ ชายตรงเพศ หญิงตรงเพศ ชายข้ามเพศ หญิงข้ามเพศ และ Two-spirit จึงสะท้อนว่าในอดีตไม่ได้ใช้ระบบสองเพศ
ดังนั้น ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ระบบสองเพศเป็นแนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้นมาภายหลัง แต่มาครอบงำผู้คน และสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นมากมายในสังคม รวมถึงสังคมไทย ที่ถ้าหากเราไม่มองเห็นมัน เราก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างตรงจุด
นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมวันนี้เราถึงควรมองเห็นเป้าหมายที่สําคัญนี้ เพราะเห็นมันแล้วว่ามันคือโครงสร้างที่บิดเบี้ยว เหมือนกับที่เราเข้าใจประเด็นแรงงาน ประเด็นทุนนิยม ที่พอเรารู้โครงสร้างแล้วว่ามันเกิดจากอะไร เราก็ควรจะไปแก้ไขสิ่งนั้น ไม่ใช่ปล่อยมันให้ดํารงต่อไป ไม่สยบยอมหรือใช้ชีวิตให้สอดคล้องไปกับระบบที่มันพังตั้งแต่แรก
คุณจึงเรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิวัติระบบสองเพศ
เพราะศัตรูของคิวไม่ใช่ผู้คน ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่เพศไหนทั้งสิ้น แต่ศัตรูของคิวคือระบบที่ทําให้ผู้คนกลายเป็นแบบนี้
เกิดการเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ เราจึงต้องมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่บิดเบี้ยวนั้น
ปัญหาที่บอกว่าเกิดในสังคมไทย คือปัญหาอะไร หรือคนไทยมีความเข้าใจในเรื่องเพศ (แบบผิดๆ) อย่างไรบ้าง
ส่วนใหญ่ก็เป็นความเข้าใจที่ผิดทั้งนั้น ที่สำคัญที่สุด คือสังคมของเราไม่เข้าใจเรื่องหลัก SOGIESC หรือหลักของการรู้จักมิติเรื่องเพศทั้ง 5 มิติของมนุษย์
เวลาเราพูดถึงเพศ สังคมไทยจะเข้าใจอยู่มิติเดียวคือ ‘เพศกําเนิด’ เมื่อเกิดมา ถ้ามีจู๋ก็ต้องเป็นผู้ชาย ถ้ามีจิ๋มก็ต้องเป็นผู้หญิง และเมื่อเติบโตขึ้น บทบาทของคนที่มีจู๋ก็คือเป็นผู้นําครอบครัว ขณะที่คนที่มีจิ๋มก็ต้องเลี้ยงลูก หรือทํางานบ้าน ซึ่งไม่ใช่แค่คนไทย แต่หลายหลายประเทศทั่วโลกก็เข้าใจแบบนี้หมด
แต่จริงๆ เพศมีถึง 5 มิติ คือ เพศทางชีวิตวิทยาหรือเพศที่ถูกกําหนดตอนเกิด สํานึกทางเพศ วิถีทางเพศ การแสดงออกทางเพศ โดยวิถีทางเพศจะแยกเป็นอีก 2 อย่าง คือมีทั้งแรงดึงดูดทางกายและทางใจ ทั้งหมดจึงรวมเป็น 5 มิติ หรือที่เรียกว่า SOGIESC

Trans Student Educational Resources, 2015. “The Gender Unicorn.” http://www.transstudent.org/gender.
SOGIESC เป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับและกล่าวถึงใน หลักการยอกยากาตาร์ (Yogyakarta Principles) ซึ่งเป็นหลักที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยรัฐไทยเป็นหนึ่งในภาคีอยู่ด้วย ดังนั้น หลักการยอกยากาตาร์จึงมีผลผูกพันกับประเทศของเรา กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างสมรสเท่าเทียม หรือรับรองเพศสภาพ ก็จำเป็นต้องรีบทํา
หลักการ SOGIESC จึงเป็นหลักสิทธิมนุษยชน ที่มีใจความสำคัญคือความหลากหลายทางเพศ สิทธิความเสมอภาคทางเพศ และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่การอุปโลกน์ขึ้นมาเอง
นอกจากที่หลักการ SOGIESC จะใช้อธิบายว่าเพศมี 5 มิติแล้ว ยังบอกว่าแต่ละมิติเป็นอิสระต่อกัน และสิ่งที่เป็นตัวตนของเราทั้งหมดทั้งหมดก็คือสิทธิมนุษยชนด้วย
ปัญหาความไม่เข้าใจนี้ จึงทำให้สังคมไทยยังไปไม่ถึงไหนในเรื่องเพศ และยังตามมาด้วยการเหยียด ล้อเลียน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องออกมาต่อสู้เพราะชีวิตพี่ก็ปกติสุขดี… ตรงไหน? จากความไม่ รู้ไม่เข้าใจ สู่การโทษคนที่ออกมารณรงค์ว่าเรียกร้องเยอะเกินไป ทั้งที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ําว่าอะไรคือสิทธิของตัวเองที่ตนพึงมีมาตั้งแต่แรก แต่กลับยังไม่มีกฎหมายมาคุ้มครองเรา
มักจะมีข้อโต้แย้งที่บอกว่า ไม่ว่าคุณจะพยายามพูดเรื่อง SOGIESC โดยเฉพาะเรื่องสำนึกทางเพศ มากแค่ไหน แต่คุณหนีไม่พ้นหรอกว่าตอนเกิดมาเป็นเพศกําเนิดอะไร แค่โครโมโซมก็ระบุเพศได้แล้ว คุณคิดอย่างไร
ใช่ค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้หนี ว่าเกิดมามีโครโมโซมแบบไหน แต่นั่นมันคือเรื่องของแค่ Sex Characteristics (เพศที่ถูกกำหนดตอนกำเนิด) ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของ SOGIESC แต่ไม่ใช่ทั้งหมด คุณจะเอา Sex Characteristics มาตัดสินว่า Gender Identity (สำนึกทางเพศ) ว่าฉันต้องเป็นยังไงไม่ได้
ไม่ได้ปฏิเสธตัวเองนะ ว่าโครโมโซมไม่มีอยู่จริง มันมี แต่หากเจาะเรื่องชีววิทยา กายวิภาค จริงๆ แล้วมันก็มีมายาคติหลายชุด เช่น ‘ฮอร์โมนเพศ’ แล้วทําไมเราต้องมาแบ่งว่าอันนี้เป็นฮอร์โมนเพศ คือเรารู้ว่ามีฮอร์โมนอย่างเทสโทสเทอร์โรน เอสโตรเจน ว่าจะมีผลกับอวัยวะใด อย่างไรบ้าง
แต่จริงๆ แล้ว มันไม่จําเป็นต้องเอาคำว่า ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ หรือ ‘ฮอร์โมนเพศหญิง’ มาจับก็ได้ เพราะมันเป็นมายาคติเรื่องเพศ ทั้งที่เราสามารถแทนด้วยชื่อของมันได้เลย เพื่ออธิบายหน้าที่ว่าฮอร์โมนั้นทํางานกับอวัยวะไหน
ดังนั้น เราจึงไม่ได้ปฏิเสธว่าโครโมโซม XY ไม่มีอยู่จริง แต่เราปฏิเสธว่า ‘โครโมโซมเพศ’ ไม่มีอยู่จริง และการจัดเรียงตัวของโครโมโซมมีมากกว่า 16 รูปแบบด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ XX กับ XY แต่ยังมีอีกหลายรูปแบบเช่น XXY XXX ที่กลายเป็นถูกนิยามว่าผิดปกติ
ซึ่งก็ยังทำให้เกิดอีกปัญหาทับซ้อนกัน คือเป็นเหตุผลที่ทำให้คน Intersex (บุคคลที่เกิดมาพร้อมกับสถานะทางร่างกายที่ไม่สามารถระบุเป็นชายหรือหญิงได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น มีอวัยวะเพศของทั้งสองเพศ มีโครโมโซมที่ไม่ใช่ XX หรือ XY) ถูกมองเป็นคนผิดปกติ ทั้งที่เขาคือธรรมชาติ เพียงแต่ไม่ได้เป็นไปตามลักษณะที่เราจัดว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงตามเพศกำเนิด
หากมีคนถามเรื่องเพศกำเนิดหรือโครโมโซม ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่อยากให้ได้ขบคิดและมองอีกมุมมองหนึ่ง เพราะว่าแม้กระทั่งศาสตร์ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์เอง ก็ถูกครอบงําด้วยระบบสองเพศ หรือระบอบชายเป็นใหญ่
แล้วอัตลักษณ์ ‘Non-binary’ ที่สังคมดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจเลย และยังไม่สามารถก้าวข้ามได้ มันคืออะไรกันแน่ คนไร้เพศหรือเปล่า?
สังคมไม่เข้าใจนอนไบนารี (Non-binary) เพราะไม่เข้าใจ SOGIESC
ต้องเข้าใจมิติหนึ่งที่เรียกว่า Gender Identity หรือ ‘สํานึกทางเพศ/อัตลักษณ์ทางเพศ’ แต่ส่วนใหญ่คิวจะชอบใช้คําว่าสํานึก เพราะมันจะเข้าใจได้ทันทีว่า หมายถึง ความรับรู้ภายในตัวตนของเรา ว่าเราเป็นเพศอะไร
ง่ายๆ คือ เราหลับตาลง แล้วถามคําถามกับตัวเองว่า “เราใช่ผู้ชายไหม เราใช่ผู้หญิงไหม”
ถ้าเราตอบได้เลยว่า ใช่ ฉันคือผู้ชาย ฉันเป็นผู้หญิง ก็คือเป็นคนตรงเพศ แต่ถ้าเกิดหลับตาคิด แล้วคุณรู้สึก เอ๊ะ ไม่มั่นใจ เอ๊ะ หรือฉันเป็นทั้ง 2 อย่าง หรือจริงๆ แล้วฉันเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็มีบางส่วนที่เป็นผู้ชายนะ คุณก็อาจจะเข้าใจความเป็นนอนไบนารี

ธงสัญลักษณ์ของนอนไบนารี
จริงๆ แล้วมันแค่นี้เลย เป็นเจตจํานงในการกําหนดตัวตน ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนสากลที่รับรองโดยหลักยอกยากาตาร์ เพราะฉะนั้น นอนไบนารีคือคนที่รับรู้ตัวตนว่าไม่ใช่ผู้ชาย หรือผู้หญิง หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นทั้ง 2 อย่างรวมกัน หรืออาจจะเป็นไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง หรืออาจจะสลับไปมาระหว่าง 2 เพศหรือเป็นตัวตนใหม่ที่แตกต่างไปเลยโดยสมบูรณ์
ความหมายของนอนไบนารีจึงเป็นร่มกว้างใหญ่มากที่พูดถึงอัตลักษณ์ย่อยๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คนที่อยู่นอกระบบสองเพศโดยสมบูรณ์ เป็นตัวตนใหม่ คนที่มีสํานึกทางเพศมากกว่าหนึ่ง (Multigender) คนที่มีเพศที่เปลี่ยนแปลงไปมา แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ (Genderfluid) หรือมีความผสมผสาน เป็นทั้งชายหญิงรวมกันเป็นหนึ่งเดียว (Androgyne) และสุดท้ายคือกลุ่มคนที่ไม่อยากระบุตัวตนว่าเป็นเพศใดทั้งสิ้น (Agender)
การเป็นนอนไบนารีจึงไม่เกี่ยวกับว่า คุณจะชอบใคร มีความรู้สึกทางเพศกับใคร แสดงออกแบบไหน หรือมีเพศที่ถูกกําหนดตอนเกิดว่าอะไร เพราะมันอยู่ที่ ‘สํานึกรู้’ ภายในจิตใจของเราล้วนๆ
หากเราเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ ก็เปรียบเทียบได้เหมือนกับว่า ต่อให้เราทิ้งกายหยาบไปแล้ว กายละเอียดเราก็จะมี Gender ที่เรารับได้รู้ว่าเราคือใคร
ขั้นต่อมาที่คนยิ่งไม่เข้าใจกันไปใหญ่ อย่างคำว่า ‘Xenogender’ จริงๆ แล้วแบบมันคืออะไร
Xenogender เป็นอัตลักษณ์ที่อยู่ใต้ร่มนอนไบนารีซึ่งระบุถึงสํานึกทางเพศใหม่ที่หลุดพ้นออกจากชายและหญิงโดยสิ้นเชิง
Xenogender มาจากรากศัพท์ 2 คํา คือ Xeno ที่แปลว่ามนุษย์ต่างดาว สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกโลก ส่วน Gender คือเพศ เพศสภาพ สํานึกทางเพศ เมื่อนำมารวมกัน จึงหมายถึง เพศที่เหมือนเป็น Alien Species หรือเป็นเพศที่หลุดพ้นแตกต่างไปจากความรับรู้ของมนุษยชาติ คนทั่วไปจะมองว่าคนพวกนี้ผิดแผก
อ้าว! แล้วถ้าไม่สามารถรับรู้ได้โดยง่าย แล้วเราจะเข้าใจพวกเขาได้อย่างไร? กลับมาที่ปัญหาอย่างระบบสองเพศ ที่นิยามของมัน มีผลให้ภาษาและวัฒนธรรมทั่วโลกเข้าใจแค่เพศชายกับหญิง ดังนั้นหากเราพูดถึงชาย หญิง เราก็จะนึกออกเลยว่าหมายถึงอะไร มีหน้าตาแบบนี้ การแสดงออกแบบนี้ รักคนแบบนี้ บทบาทประมาณนี้ มันเชื่อมโยงทุกอย่างไว้
โดย Xenogender ก็จะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ คือ กลุ่มที่นิยามตัวเองด้วยคำที่เป็นแนวคิด นามธรรม หรือ Archetypes หรือเป็นสัญลักษณ์ เช่น เพศคือการตื่นรู้ เพศคือจักรวาล กลุ่ม Stnesthesia-like perception หรือการระบุเป็นแสง สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส และกลุ่ม Neurogender ที่เป็นสำนึกทางเพศของกลุ่มคน Neurodivergent บางส่วน
สำหรับคิว คิวเป็น Xenogender ที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘ฟีนิกซ์’ หรือนกไฟในตํานานที่ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่าน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มคำนิยามที่เป็นนามธรรมในเรื่องการฟื้นคืนชีพจากความตาย ประกอบกับการเป็นพลังงานความร้อน แสง รังสีไฟ และซูเปอร์โนว่า
รากฐานของ Xenogender ไม่ได้เกิดมาจากความคิดที่ซับซ้อน โดยคนที่พบบว่าเป็น Xenogender ส่วนใหญ่เป็นเด็ก นึกภาพว่าเวลาครูให้ทําการบ้าน บอกโจทย์ว่า “นักเรียน มาวาดรูปสื่อสารตัวตนทางเพศของเรากันค่ะ”เด็กที่โตมาในระบบสองเพศ ก็ถูกหล่อหลอมว่าเป็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายอาจวาดรูปเด็กถือดาบ เล่นกีฬา เด็กผู้หญิงอาจวาดรูปเด็กผูกโบว์สีชมพู
เวลาเราเป็นนอนไบนารีหรือ Xenogender มันไม่ใช่เพราะเราอ่านหนังสือมาก แต่เกิดจากการไม่สามารถเข้ากันได้กับระบบสองเพศตั้งแต่เด็กเลย
คิวรู้ตัวว่าเป็นนอนไบนารีตั้งแต่ 7 ขวบแม้จะยังไม่รู้นิยาม เพราะตอนนั้น คิวรับรู้ว่าเราไม่ใช่เด็กผู้ชายแน่ๆ ถึงแม้ว่าเราจะเกิดมามีเพศที่ถูกกำหนดตอนเกิดเป็นชาย แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่เคยคิดอยากเป็นผู้หญิง เราเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พวกเขา แม้ในสังคมยังไม่มีคำเรียกนอนไบนารี แต่ในความรับรู้ของตัวเองมันเป็นนอนไบนารีแล้ว แต่เราก็ไม่กล้าไปบอกคนอื่น เพราะแน่นอน ถ้าเราพูด เราจะเป็นตัวประหลาด
คิวมาเข้าใจว่าสิ่งตัวเองเป็นมีนิยามว่านอนไบนารีตอนโต ที่ค้นหาเจอในอินเทอร์เน็ต แล้วมันไม่ได้อธิบายอะไรเยอะ เขียนแค่ “Non-binary เท่ากับคนที่รับรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ชายและหญิง” เราเข้าใจมันได้ทันที เพราะเป็นตัวตนที่รับรู้มาตั้งแต่ 7 ขวบ แต่หลายๆ คนกลับถูกทำให้ต้องเงียบเสียงตัวเอง แล้วก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยากจะเป็น
แสดงว่ามันก็จะต้องมีนิยามใหม่ๆ ขึ้นมาตลอดใช่ไหม เพื่ออธิบายตัวตนที่เราเป็นให้ถูกต้อง
ก็เป็นอย่างนั้นค่ะ แต่คําอธิบายใหม่ๆ มันก็สมเหตุสมผลนะ มันจะมีลักษณะใหม่ที่ไม่มีอยู่เดิม เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ถ้าเราอธิบายมันได้ ก็ต้องสร้างนิยาม
เช่น ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ก็เป็นคําใหม่ที่เราเพิ่งคุ้นชินกันในยุคนี้ ก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้ว่าปัญญาประดิษฐ์คืออะไร แล้ววันหนึ่งเราก็จะมีควอนตัมคอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย มันเป็นคําใหม่ทั้งหมดหมด
หลายๆ คน บ่นว่า “จะมีเพศอะไรเยอะแยะมากมายขนาดนี้” แต่มันก็ไม่ต่างจากการนิยามเพื่ออธิบายว่าวันนี้เราชอบแฟชั่นแบบนี้ ชอบวงดนตรีนี้ ชอบทานอาหารแบบนี้ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเป็นเรื่องเพศกลับลุกมาต่อต้าน
คนที่เป็นนอนไบนารีหรือ Xenogender อย่างคิว ก็ไม่ได้รู้จักทุกอัตลักษณ์ที่มีอยู่ เพราะมันก็มีเยอะมาก แต่เราก็ศึกษาได้ แล้วเราก็ไม่จําเป็นต้องรู้ทั้งหมดก็ได้ เพียงแค่รู้แนวคิดไว้คร่าวๆ เพื่อให้พอเข้าใจ
กฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ ที่เป็นประเด็นขับเคลื่อนอยู่ จะมีความสำคัญกับคนเป็นนอนไบนารี และสำหรับทุกคนอย่างไรบ้าง
สำหรับนอนไบนารี กฎหมายตัวนี้คือหัวใจหลัก เพราะทุกวันนี้เราไม่มีตัวตนในทางกฎหมาย เมื่อไม่มีตัวตน เวลาที่ถูกทำร้าย ถูกล่วงละเมิดเรื่องต่างๆ ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองหรือเยียวยาตามกฎหมาย ทั้งที่กำลังถูกเลือกปฏิบัติจากระบบสองเพศ และระบอบชายเป็นใหญ่
การมี พรบ. รับรองอัตลักษณ์ทางเพศ จะทำให้เรามีตัวตนตามกฎหมาย และขับเคลื่อนได้ เพราะทำให้รัฐไทยมองเห็นเรา กฎหมายมองเห็นเรา ให้เรามีสิทธิเท่าเทียมเสมอภาคทางเพศ
ข้อโต้แย้งหลัก ที่คนมักพูดถึงเรื่องการไปรักษาที่โรงพยาบาล ก็ต้องดูว่าอาการของโรคไหนบ้างที่ต้องรู้เรื่องเพศกำเนิด ซึ่งกฎหมายนี้ จะกำหนดให้มีข้อมูลทางการแพทย์แยกต่างหาก ข้อมูลนั้นไม่ได้สูญหายไปไหน มีการจัดเก็บไว้ในบัตรประชาชนและในฐานข้อมูล
หากมีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นเป็นปกติ เพราะมันเป็นสิ่งใหม่ เช่น ตอนริเริ่มสมรสเท่าเทียม ทนายก็มีปัญหาเพราะต้องปรับเปลี่ยนเรียนรู้เข้าใจใหม่ สำนักทะเบียนที่เคยให้จดทะเบียนแค่ชาย-หญิง ก็ต้องไปแก้ไขเอกสาร สร้างความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ ทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง คุณอาจจะตื่นตระหนกได้ แต่เราหาทางออกร่วมกันได้
คาดหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระยะสั้น และในระยะยาวอย่างไรบ้าง
ในระยะสั้น คงจะเป็นการอยากให้คนในชุมชนยังคงมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เพราะการเปลี่ยนแปลงความคิดของสังคม มันต้องใช้เวลา จึงต้องเป็นเป้าหมายระยะยาว เพราะระบบสองเพศมันมันฝังรากลึกมาไม่รู้กี่ชั่วลูกชั่วหลาน การรื้อถอนมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และคนที่ผลักดันเรื่องนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีอำนาจในสังคม แต่เป็นกลุ่มคนที่ถูกกดทับ
ดังนั้นมันเป็นการต่อสู้ระยะยาว เป็นการต่อสู้ที่จะไม่จบลงในช่วงชีวิตของคิวแน่ๆ แต่เราต้องไม่ท้อถอย เพราะช่วงชีวิตของมนุษย์มันสั้น เราทําในสิ่งที่เราทําได้ก็พอ
ฝากถึงคนในชุมชน ว่า ห้ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตความสุขต่อไป เรื่องไหนที่มันไม่ไหวก็ไม่ต้องรับ ไม่ต้องไปทุกข์อยู่ในสมรภูมิที่มีความเกลียดชังเต็มไปหมด แต่เชื่อเถอะ ว่าวันหนึ่ง ชีวิตของเราจะดีขึ้นได้แน่ๆ
วันหนึ่งเราจะได้รับชีวิตที่ผาสุขมีศักดิ์ศรีบริบูรณ์ แต่ถึงจะไม่ทันในช่วงชีวิตของเรา นอนไบนารีรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องมาขับเคลื่อนแบบนี้ และสามารถไปใช้ชีวิตในแบบของตนเอง เป็นตัวเองได้เต็มที่