เราได้ยินคำเหล่านี้กันมาสักพักแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Design Thinking, Agile, OKRs, Digital Transformation หรือ Data-Driven Organization ซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับคนทำงานและองค์กรต่างๆ ที่อยากปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในโลกยุคนี้และในอนาคต
สิ่งเหล่านี้ถูกพูดถึงในงาน Beta Conference ที่จัดโดย Skooldio และนี่คือตัวอย่างประเด็นที่น่าสนใจจากงานเมื่อวานนี้
.
1. Data-Driven Organization : หลายองค์กรพยายามที่จะหยิบเอา Big Data หรือ AI ไปใช้ แต่เจริงๆ แล้ว องค์กรทั่วๆ ไป จะเอา Data มาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?
ดร.วิโรจน์ จิรพัฒนกุล อดีต Data Scientist จาก Facebook และผู้ก่อตั้ง Skooldio อธิบายว่าโดยพื้นฐานองค์กรสามารถเปลี่ยน Data เพื่อเอาไปใช้งานได้ 3 รูปแบบ นั่นก็คือ
1) เปลี่ยน Data ให้เป็น ‘Metric’ หรือยอดตัวเลขต่างๆ เพื่อให้องค์กรสามารถวัดผลสิ่งที่ทำไปแล้วได้ เมื่อวัดผลได้ก็สามารถปรับปรุงสิ่งที่ทำแล้วไม่ดีหรือไม่เหมาะได้
2) เปลี่ยน Data เป็น ‘Insight’ เป็นการต่อยอดจากการวัดผล เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่ทำมา เพื่อมองหาสิ่งที่จะทำต่อไป
3) เปลี่ยน Data เป็น ‘Product’ ใหม่ๆ ขยายฐานของสินค้าหรือบริการได้
และจริงๆ แล้ว การจะเป็น Data-Driven Organization องค์กรนั้นอาจไม่จำเป็นต้องมี Data Scientist จำนวนมาก แต่ต้องเริ่มต้นจากส่งเสริมให้ทุกคนในองค์กรให้รู้จักการใช้ Data โดยต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ
1) ฝึกให้ตั้งคำถามให้ถูก ถึงจะเก็บและเลือกใช้ Data ได้อย่างเกิดประโยชน์
2) มีเครื่องมือที่ทำให้จัดการและเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
3) มีความเข้าใจในการใช้ข้อมูล (Data Literacy) เพื่อให้สามารถประสานงานกับ Data Team ได้
ดร. ภูริพันธุ์ รุจิขจร ผู้ร่วมก่อตั้ง Boonmee Lab และอาจารย์สอน Data Visualization ได้แนะนำเครื่องมือหนึ่งในการนำ Data ไปใช้ในองค์กร นั่นก็คือ Dashboard หน้าจอที่ใช้แสดงผลข้อมูลต่างๆ ที่องค์กรหรือคนควรรู้ ด้วยภาพที่มองแล้วเข้าใจง่าย มีเป้าหมายในการนำเสนอหรือโจทย์ที่ตั้งไว้ให้ตอบ ตัวอย่างพื้นฐานก็เช่น Google Data Studio หรือ Microsoft Power BI ซึ่งถ้าไปถึงขั้น interactive เพื่อเสนอข้อมูลเฉพาะให้กับคนได้ ก็จะยิ่งดี
.
2. Agile Organization : หลายคนน่าจะเคยได้ยินแนวคิดในการทำงานแบบ Agile มาบ้างแล้ว อธิบายสั้นๆ ง่ายๆ คือการจัดทีมให้เล็ก ลด Feedback Loop วางแผนระยะสั้น และมีการประเมินอยู่เรื่อยๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่ตลอด เพื่อให้ตอบสนองผู้ใช้งาน Agile เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากบริษัท Software Development แต่ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรอื่นๆ ด้วย
ทวิร พานิชสมบัติ Agile Coach จาก ODDS บอกว่า เมื่อนำ Agile ไปใช้จริง หลายๆ องค์กรกลับล้มเหลว นั่นก็เพราะหลงลืม Manifesto หรือหลักสำคัญในการเกิดขึ้นของแนวคิดนี้ไป ซึ่งหลักการในการใช้ Agile ประกอบด้วย
1) Individuals and interactions over processes and tools เน้นการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับคน มากกว่าการทำตามขั้นตอนและการใช้เครื่องมือ
2) Working software over comprehensive documentation เน้นส่งมอบซอฟต์แวร์ (หรือผลิตภัณฑ์) ที่นำไปใช้งานได้จริง มากกว่าการส่งมอบเอกสารที่ครบถ้วนสมบูรณ์
3) Customer collaboration over contract negotiation เน้นการให้ความร่วมมือหรือการตอบสนองผู้ใช้งาน มากกว่าการเจรจาต่อรองให้เป็นไปตามสัญญา
4) Responding to change over following a plan เน้นการตอบรับกับการเปลี่ยนแปลง มากกว่าการทำตามแผนที่วางไว้
.
3. Moonshot Thinking & OKRs : อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ Google ออกผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่โลกเซอร์ไพรส์ได้เสมอๆ?
วิธีคิดแบบหนึ่งของ Google ที่ถูกกล่าวถึงคือ ‘Moonshot Thinking’ ซึ่งพรทิพย์ กองชุน ผู้ก่อตั้ง Jitta และอดีตผู้บริหาร Google Thailand ได้อธิบายว่าเป็น ‘การตั้งเป้าหมายแบบ 10x’ เพื่อสร้างแรงผลักดัน ทลายขีดความสามารถและความเป็นไปได้ของทีม วิธีคิดแบบนี้ประกอบขึ้นจาก 3 สิ่งคือ 1) ปัญหาขนาดใหญ่ 2) ทางแก้ที่สุดโต่ง 3) เทคโนโลยีที่ล้ำจัด เมื่อหาจุดร่วมที่เป็นไปได้ของ 3 อย่าง ก็จะสามารถสร้างนวัตกรรมโลกตะลึงขึ้นมาได้ (ยกตัวอย่างเช่น Project Loon ที่ส่งบอลลูนไปบนชั้นบรรยากาศเพื่อกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้คนในชนบท https://loon.co/)
สิ่งที่สนับสนุนการตั้งเป้าหมายใหญ่แบบ Google ก็คือการใช้ตัวชี้วัดแบบ OKRs ที่เกิดจากการประกอบกันของ Objectives หรือวัตถุประสงค์ที่ท้าทายให้เราต้องการทำ (ไม่ควรมีเกิน 3–5 ในแต่ละ Quarter) และ Key results ที่จะบอกว่าวัตถุประสงค์นั้นสำเร็จหรือไม่ (ต้องวัดได้ หรือตีค่าเป็นตัวเลขได้) OKRs คือการสร้างจุดหมายร่วมกันในทีม เพื่อพัฒนาตัวเอง และไม่ได้จำเป็นต้องสำเร็จ 100% เสมอไป
.
4. The Rise of Chinese Tech : อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้เขียนหนังสือ “China 5.0 สีจิ้นผิง เศรษฐกิจยุคใหม่และแผนการใหญ่ AI” ได้มาแชร์สิ่งที่องค์กรสามารถเรียนรู้จากที่จีนสามารถผงาดขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน AI และเทคโนโลยีของโลก ว่ามีบทเรียนสำคัญ 4 ข้อที่อาจเอาไปปรับใช้เป็นแนวคิดหรือลงมือทำได้
1) Insecurity : จีนมองว่าถ้าตัวเอง ‘ไม่ปรับ พังแน่’ จากเหตุการณ์ตอนที่ AI เอาชนะกีฬา ‘โกะ’ ที่ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนจีน จึงรู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
2) Obsession : จีนมองเรื่องการพัฒนาเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงถึงกับเคยพูดว่า “AI จะตอบโจทย์ทุกความท้าทายของจีน” และนำมาใช้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ที่หันไปลงทุนพัฒนาสินค้าด้านนวัตกรรมมากขึ้น ด้านการปกครอง ที่นำระบบ Social Credit Score หรือ Facial Recognition มาใช้ในการบริหารบ้านเมือง หรือด้านความมั่นคง ที่มีการวางแผนยุทธศาสตร์ชาติ Made in China 2025 โดยนวัตกรรมทั้งหมดที่ลงทุนสามารถพัฒนาไปเป็นเทคโนโลยีทางทหารได้ทั้งหมด
3) Competition : ที่จีนมีการแข่งขันสูงมากในตลาดแรงงานและตลาดผู้ประกอบการ ทำให้คนจีนมุ่งพัฒนาตัวเองและองค์กรอยู่ตลอดเวลา
4) Experimentation : และเนื่องจากว่ามีการแข่งขันสูง แต่ละรายจึงเร่งที่จะทดลองของใหม่ๆ อยู่ตลอด ทำให้ล้มเร็ว เรียนรู้เร็ว มี Data มหาศาลจากสิ่งต่างๆ ที่สร้างขึ้น AI ก็สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้น ฉลาดขึ้น จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
#Brief #AlwaysinBeta #TheMATTER