‘โทษประหารชีวิต’ เป็นโทษที่หลายประเทศก็ได้ยกเลิกไปแล้ว บางประเทศยังคงมีอยู่ แต่บางประเทศก็ได้เว้นจากการประหารไปนานหลายปี แต่ล่าสุด ที่สหรัฐฯ หลังจากไม่มีการประหารชีวิตนักโทษมายาวนานถึง 16 ปี ได้กลับมีการประกาศว่า กำลังจะมีการประหารชีวิตนักโทษอีกครั้งหนึ่งแล้ว
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศจะดำเนินการประหารชีวิตผู้ต้องขัง หลังจากไม่มีการประหารมายาวนาน โดยครั้งสุดท้ายที่มีนักโทษถูกตัดสินโทษนี้ คือในปี 2003 ซึ่ง William Barr อัยการสูงสุดกล่าวในแถลงการณ์ว่า เขาได้สั่งให้สำนักเรือนจำ (BOP) กำหนดตารางเวลาการประหารชีวิตนักโทษห้าคน ที่ถูกตัดสินโทษในคดีฆาตกรรม หรือข่มขืนเด็ก และผู้สูงอายุ
Barr ได้แถลงการณ์ว่า “ภายใต้การปกครองของทั้งสองฝ่าย กระทรวงยุติธรรมได้ทำการลงโทษประหารชีวิตต่ออาชญากรที่เลวร้ายที่สุด กระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ยึดถือหลักนิติธรรม และเราเป็นหนี้ต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และครอบครัวของพวกเขาเพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาที่ระบบยุติธรรมของเรากำหนด”
การประหารชีวิตได้มีกำหนดการไว้ในเดือนธันวาคม ปีนี้ และเดือนมกราคม ปีหน้า โดยตั้งแต่โทษประหารได้มีการนำกลับมาใช้ในปี 1988 รัฐบาลได้มีการประหารชีวิตจำเลยเพียง 3 คนเท่านั้น และครั้งสุดท้ายในปี 2003 ก็ได้ประหาร Louis Jones Jr อดีตทหารผ่านศึกสงครามอ่าววัย 53 ปี ที่ได้ลักพาตัว ข่มขืย และสังหารทหารหญิงสาวในปี 1995
Robert Dunham จาก DPIC กล่าวว่าการตัดสินใจเรื่องโทษประหาร ไม่ได้เป็นเรื่องประหลาดใจ “ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้สนับสนุนการลงโทษประหารชีวิต และได้เสนอหลายคดีให้มีโทษนี้ รวมถึงการขายยาเสพติดและการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐและท้องถิ่น” เขากล่าว ซึ่งแน่นอนว่าก็มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับโทษนี้ อย่างอดีต ส.ว. Kamala Harris แล และผู้ชิงตำแหน่ง ปธน. ปี 2020 จากพรรคเดโมเครต ก็มองว่า การลงโทษประหารชีวิตนั้นผิดศีลธรรม และมีข้อบกพร่องอย่างลึกซึ้ง ที่มีคนบริสุทธิ์จำนวนมากถูกประหารชีวิต
การศึกษาในปี 2014 โดยนักวิจัยจากมิชิแกนและเพนซิลเวเนีย ยังพบว่าอย่างน้อย 4.1% ของจำเลยทั้งหมดที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในสหรัฐฯ ในยุคปัจจุบันนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งปัจจุบันมี 98 ประเทศทั่วโลก ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับอาชญากรรมทุกรูปแบบโดยนิตินัย ในขณะที่อีก 58 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ และประเทศไทยบ้านเรา ยังเป็นประเทศในกลุ่มที่ยังคงโทษของการประหารชีวิตอยู่
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-us-canada-49118134
#Brief #TheMATTER