เราเห็นข่าวการฆ่าตัวตายเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน ทั้งนักเรียน นักศึกษา หรือคนวัยทำงานที่เกิดความเครียด และในวันนี้ที่เป็น ‘วันป้องกันการฆ่าตัวตายสากล’ (World Suicide Prevention Day) องค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ก็ได้เปิดเผยข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายออกมา และเรียกร้องให้แต่ละประเทศ มุ่งเพิ่มมาตรการป้องกันเหตฆ่าตัวตายด้วย
“แม้แต่ละประเทศจะมีความคืบหน้าในการป้องกันการฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังมีคน 1 คน เสียชีวิต เสียชีวิตทุกๆ 40 วินาทีจากการฆ่าตัวตาย” ด็อกเตอร์ Tedros Adhanom Ghebreyesus อธิบดีองค์การอนามัยโลกกล่าวในการแถลงการณ์ ทั้งยังมีการเปิดเผยข้อมูลว่า มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเกือบ 800,000 คนทุกปี ซึ่งถือว่ามากกว่าผู้ที่เสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย มะเร็งเต้านม หรือสงคราม และการฆาตกรรม เรียกว่าเป็น ‘ปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงทั่วโลก’
WHO ยังระบุอีกว่า ประชากรในแอฟริกา ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงกว่าเฉลี่ยของทั่วโลก คือ 10.5 ต่อประชากร 100,000 คน ทั้ง 79% ของการฆ่าตัวตายยังเกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และปานกลางด้วย
ข้อมูลยังระบุว่า เกือบทั่วโลก มีผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิง โดยผู้หญิงมีอัตราฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.5 ต่อ 100,000 คน ในขณะที่ผู้ชายคือ 13.7 โดยประเทศที่มีอัตราผู้หญิงฆ่าตัวตายสูงกว่าคือ บังกลาเทศ จีน เลโซโท โมร็อกโกและพม่า
นอกจากนี้ WHO ยังเผยข้อมูลว่า การฆ่าตัวตายนั้น เป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 2 ของคนหนุ่มสาว ในวัย 15-29 ปี โดยถือเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ในหมู่เด็กผู้หญิงวัย 15-19 และอันดับสามในหมู่เด็กผู้ชายด้วย
WHO เรียกร้องให้ทั่วโลกตระหนักถึงปัญหานี้ โดยบอกว่า ตอนนี้ มีเพียง 38 ประเทศที่มีกลยุทธ์การป้องกันการฆ่าตัวตาย ซึ่งถือว่ายังน้อยเกินไป และรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องสร้างมาตรการในเรื่องนี้ โดยเรียกร้องให้ทุกประเทศรวมวิธีการป้องกันการฆ่าตัวตายเข้ากับโรงการด้านสุขภาพ และการศึกษาของชาติด้วย
อ้างอิงจาก
https://www.who.int/news-room/detail/09-09-2019-suicide-one-person-dies-every-40-seconds
https://edition.cnn.com/2019/09/09/health/who-global-suicide-rates-intl/index.html
#Brief #TheMATTER