ในสนามรบ พลทหารจะต้องเจอกับความเสี่ยงอยู่เสมอ โดยเฉพาะการออกลาดตระเวนในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มองอะไรไม่ค่อยเห็น และตามหาศัตรูได้ยาก ตอนนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังพัฒนาเทคโนโลยี ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถของพลทหารในการตามหาบุคคลเฝ้าระวังในตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังทำงานได้เป็นระยะทางกว่าครึ่งกิโลเมตร!
กองทัพสหรัฐฯ กำลังลงทุนในการพัฒนาระบบ เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial recognition technology) ที่มีความสามารถในการอ่านค่าอุณหภูมิบนใบหน้า เพื่อระบุเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง โดยเทคโนโลยีตัวนี้จะทำงานในที่มืด และทำงานได้ในระยะไกล
ระบบจดจำใบหน้ารูปแบบใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนานี้แตกต่างจากระบบแบบเดิมตรงที่ ระบบใหม่นี้สามารถวิเคราะห์ภาพอินฟาเรดได้ โดยการพัฒนาระบบนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน ปี ค.ศ.2019 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะดำเนินไปจนถึง ปี ค.ศ.2021
.
ส่วนเรื่องความสามารถของระบบ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวว่า เซนเซอร์ควรตรวจจับเป้าหมายที่อยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ เช่น เป้าหมายที่ถูกมองเห็นจากกระจกหน้ารถยนต์, เป้าหมายที่ถูกไฟส่องจากด้านหลัง (Blacklit) และเป้าหมายที่ถูกบดบังในบางฤดูกาล เช่น ฤดูที่มีหมอก
กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ต้องการให้ระบบจดจำใบหน้าที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ สามารถใช้งานกับเครื่องที่มีขนาดเล็กและพกพาได้ และยังต้องใช้ทำงานได้ในระยะทางตั้งแต่ 10-500 เมตร รวมถึง สามารถระบุบุคคลที่อยู่ในกลุ่มบุคคลเฝ้าระวังได้
แม้ตอนนี้ กองทัพสหรัฐฯ จะนำระบบจดจำใบหน้ามาใช้ในสนามรบ เพื่อเป็นเครื่องมือในการหาตำแหน่งของเป้าหมายแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นระบบที่วิเคราะห์ได้เฉพาะภาพจากกล้องแบบทั่วไป เช่น กล้องไอโฟน หรือ กล้อง CCTV
.
ส่วนระบบที่อยู่ในระหว่างการพัฒนานั้น จะสามารถตรวจจับคนที่เดินผ่านเจ้าหน้าที่ทหารในระยะไกล และในตอนกลางคืนได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตอนกลางคืนได้อีกด้วย
.
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้จะถูกนำมาใช้ในการตรวจหาคนที่อยู่ในรายชื่อบุคคลเฝ้าระวังมากกว่า การผสมผสานการใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลของหน่วยงานกลาโหมนิติเวชและชีวภาพ (DFBA)
อ้างอิงจาก
https://www.usaspending.gov/#/award/CONT_AWD_W909MY19C0019_9700_-NONE-_-NONE-
พิสูจน์อักษร: จิรัชญา ชัยชุมขุน
#Brief #TheMATTER