วานนี้ (5 มี.ค.) ธนาคารโลกเปิดรายงานเกี่ยวกับอัตราความยากจนของคนไทย มีข้อมูลน่าสนใจก็คือในยุคที่ คสช.ปกครองประเทศตลอด 5 ปี มีถึง 2 ปีที่อัตราความยากจน พูดง่ายๆ ก็คือจำนวน ‘คนจน’ เพิ่มขึ้น ทั้งที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบดูแลกระทรวงเศรษฐกิจเคยประกาศจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทำไมคนจนในไทยถึงเพิ่มขึ้น?
#เราใช้เกณฑ์อะไรวัดความจน
ไทยใช้เกณฑ์เส้นความยากจนเดียวกับที่นานาชาติใช้ (International poverty rate) คือมีรายได้ไม่ถึงวันละ 1.90 เหรียญสหรัฐอเมริกา ไม่เกิน 90 บาทต่อวัน หรือ 2,700 บาทต่อเดือน
#ไทยมีคนจนมากน้อยแค่ไหน
ธนาคารโลก ระบุว่า คนไทยที่อยู่ในอัตราความยากจนระหว่างปี พ.ศ.2558 – 2561 เพิ่มจาก 7.2% เป็น 9.8% หากคิดเป็นจำนวนก็เพิ่มจาก 4.85 ล้านคน เป็น 6.7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นราว 1.85 ล้านคน โดยมีถึง 61 จังหวัดจากทั้งหมด 77 จังหวัดที่มีคนจนเพิ่มขึ้น
แยกเป็นภาค ภาคกลางและภาคอีสานมีคนจนเพิ่มขึ้นครึ่งล้านคน เช่นเดียวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีคนจนเพิ่มขึ้นสูงมาก
#ทำไมคนจนไทยเพิ่มขึ้น
รายงานของธนาคารพยายามให้คำอธิบายว่า เพราะประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิตต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิค โดยโตแค่ 2.7% ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนลดลงและการบริโภคหยุดชะงัก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหดตัว
ไม่รวมถึงปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ที่เป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดอยู่แล้ว
#แนวโน้มความจนในไทย
นับแต่ธนาคารโลกเริ่มเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับความยากจนในไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 ภาพรวมความยากจนในไทยลดลง จากเคยสูงถึง 65% ลดเป็นเหลือไม่ถึง 10% ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อัตราความยากจนของไทยก็เพิ่มขึ้นถึง 5 ครั้ง ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ.2541 และ 2543 ในปี พ.ศ.2551 และล่าสุด ในปี พ.ศ.2558 และ 2561
รายงานของธนาคารโลกยังทิ้งท้ายด้วยว่า แม้คนไทยจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น การเข้าเรียนของเด็กปฐมวัย มีน้ำและไฟฟ้าใช้ แต่การกระจายรายได้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะความมั่งคั่งไม่ได้ถูกกระจายไปยังคนที่จนที่สุดในประเทศ 40% อย่างเพียงพอ
.
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่: http://pubdocs.worldbank.org/en/149501583303319716/WB-Poverty-Report-Thailand-2020-Low-res.pdf
พิสูจน์อักษร: วัศพล โอภาสวัฒนกุล
#Brief #TheMATTER