แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกของ COVID-19 จะเพิ่มขึ้นถึงหลัก 200,000 กว่าคนแล้ว แต่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นตอของโรคระบาดใหญ่ กลับมีรายงานว่า ไม่พบการติดเชื้อใหม่เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ทางการจีนยังไม่พบผู้ติดเชื้อ ‘ในพื้นที่’ รายใหม่เลย แต่ก็มีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 34 คน แต่ทั้ง 34 คนนั้น ล้วนเป็นคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ หรือใกล้ชิดกับคนที่มาจากประเทศอื่น
นี่ก็ถือเป็นสัญญาณว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศจีน ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว และสามารถเข้าสู่การเตรียมความพร้อมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่หยุดชะงักไป หลังจากรัฐบาลกำหนดข้อจำกัดในการเดินทาง และมาตรการกักกันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการต่อสู้กับโรค COVID-19 นี้ ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
แต่จีนก็ยังไม่พ้นขีดอันตรายหรอกนะ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า จะต้องจับตาดูอย่างน้อย 14 วันติดต่อกัน โดยในช่วงที่เฝ้าระวังนี้ ต้องไม่มีการติดเชื้อใหม่เลย จึงจะถือได้ว่า การแพร่ระบาดสิ้นสุดลงแล้ว ทั้งยังอาจจะเป็นไปได้ว่า ไวรัสนี้จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งได้ หลังจากยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทาง และมาตรการต่างๆ ทั่วประเทศ
“เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การระบาดระลอกแรก (first wave of infections) ในประเทศจีนเกือบจะยุติลงแล้ว คำถามคือ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อมีการระบาดระลอกที่สอง เพราะมาตรการต่างๆ ที่จีนใช้เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดนั้น ไม่ได้เป็นมาตรการในระยะยาว” เบน โคว์ลิง (Ben Cowling) ศาสตราจารย์และหัวหน้าแผนกระบาดวิทยาและชีวสถิติ ของ Hong Kong University’s School of Public Health กล่าว
มาตรการที่จีนใช้ในการป้องกันการแพร่ระบาด คือการปิดโรงเรียน และสถานที่ทำงานต่างๆ จำกัดการเดินทาง รวมถึง มาตรการกักกันโรคในประชากรและผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และตั้งแต่เมื่อมกราคมที่ผ่านมา ประชาชนกว่า 50 ล้านคนในมณฑลหูเป่ย ก็ยังคงอยู่ในเมืองด้วยการกักกันอย่างเข้มงวด
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/2020/03/18/world/coronavirus-news.html
พิสูจน์อักษร: วัศพล โอภาสวัฒนกุล
#Brief #TheMATTER